สำหรับคนที่เป็นมือใหม่หัดเลือกใช้สกินแคร์ และหันมาดูแลตัวเองแบบจริงจัง อาจจะยังสงสัยว่าครีมกับโลชั่นต่างกันอย่างไร ทั้งๆ ที่สามารถบำรุงผิวได้เหมือนกัน ในบทความนี้จะมากล่าวถึงข้อแตกต่างระหว่างสกินแคร์ทั้ง 2 ชนิดนี้ว่ามีเนื้อสัมผัสที่เหมาะกับสภาพผิวแบบใด ไม่ว่าจะเป็น ผิวแห้ง ผิวผสม ผิวมัน เพื่อให้ตัดสินใจเลือกใช้ได้ง่ายขึ้น

ครีมกับโลชั่นต่างกันอย่างไรนั้น สามารถสังเกตได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นส่วนประกอบ เนื้อสัมผัส ความไวในการซึมเข้าสู่ชั้นผิว ดังนี้
 

ครีม (Cream)

ครีม (Cream) จะมีเนื้อสัมผัสที่หนืดมากกว่าโลชั่น ซึ่งจะเหมาะกับผิวที่มีความแห้ง หรือผิวที่ต้องการความชุ่มชื้น โดยครีมบางชนิดอาจมีความเข้มข้นน้อย เพื่อให้ผิวรู้สึกเบาบาง ในขณะที่ครีมบางชนิดมีความเข้มข้นมาก เพื่อที่ครีมจะสามารถให้ความชุ่มชื่น และบำรุงผิวได้ดีขึ้น
 

โลชั่น (Lotion)

โลชั่น (Lotion) จะมีเนื้อสัมผัสที่บางเบา เพราะมีส่วนประกอบของน้ำมากกว่า ทำให้มีความหนืดน้อยกว่าครีม และสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมัน หรือผิวที่มีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว 

ไม่ว่าครีมกับโลชั่นจะต่างกันอย่างไร ก็มีคุณสมบัติในการดูแลผิวเหมือนกัน แต่การเลือกใช้สกินแคร์ของทั้งสอง ชนิดนี้ จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน และสามารถแยกประเภทของผิวได้ดังนี้
 

ผิวแห้ง 

ผิวแห้งมักพบเจอกับปัญหาผิวที่ขาดความชุ่มชื้น แตก ลอกเป็นขุย และจะมีปัญหาผิวที่ต้องได้รับการดูแลตามมา อย่างการเกิดริ้วรอย ตีนกา ตามบริเวณต่างๆ บนใบหน้า เช่น รอบดวงตา ร่องแก้ม เป็นต้น เนื่องจากผิวขาดน้ำ จึงทำให้ผิวหยาบกระด้าง และมีความยืดหยุ่นน้อยลง นอกจากนี้ ผิวแห้งมักจะมีโอกาสเกิดการแพ้  หรือการระคายผิวได้มากกว่าสภาพผิวอื่นๆ จึงต้องเลือกใช้ครีม เพราะเนื้อครีมมีเนื้อสัมผัสที่หนืดกว่าโลชั่น ทำให้สามารถกักเก็บความชุ่มชื้น ฟื้นบำรุงผิวแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
 

ผิวผสม 

ลักษณะของผิวผสมนั้น จะมีทั้งความมัน และความแห้ง โดยส่วนมากจะเกิดความมันบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) และผิวแห้งบริเวณหน้าแก้ม จึงมีโอกาสเกิดสิว และริ้วรอยตามบริเวณดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม สภาพผิวผสมจะเหมาะกับการใช้โลชั่นมากกว่าครีม เพราะบริเวณ T-zone จะมีความมันมาก ซึ่งไม่เหมาะกับการทาครีม แต่ทั้งนี้ บริเวณที่ผิวแห้งก็สามารถทาโลชั่นได้ แต่ควรทาในปริมาณที่ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป
 

ผิวมัน

ผิวมัน เกิดจากต่อมไขมันใต้ชั้นผิว ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้ เช่น สิวอุดตัน เพราะผิวมันมักมีโอกาสที่จะเกิดสิวอุดตัน และสิวประเภทต่างๆ ได้มากกว่าสภาพผิวอื่นๆ และนอกจากผิวมันจะทำให้เกิดสิวได้ง่ายแล้ว ยังคงมีปัญหารอยสิวตามมาให้ได้รักษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย 

ซึ่งในการเลือกใช้สกินแคร์สำหรับผิวมัน ควรเลือกใช้โลชั่น เนื่องจากมีส่วนผสมที่เบาบาง และมีความเข้มข้นน้อยกว่าครีม จึงไม่ทำให้ผิวดูมันกว่าเดิมเมื่อทาโลชั่น ในขณะที่ครีมมักมีความหนืดมากกว่า เมื่อทาลงบนสภาพผิวหน้าที่มัน จะทำให้รู้สึกหนักหน้า ไม่สบายผิว และทำให้ผิวมันมากกว่าเดิม ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดสิวอุดตันตามมาได้
 

ผิวธรรมดา

ผิวธรรมดา เป็นผิวที่ค่อนข้างมีความสมดุล ไม่แห้ง ไม่มัน แต่อาจจะมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดปัญหาผิวได้ อย่างอายุที่มากขึ้น ก็จะมีปัญหาริ้วรอย จึงควรเลือกใช้ครีม เพราะครีมมีคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื้น เติมน้ำให้ผิวได้ดีกว่าโลชั่น หรือผิวที่เกิดการแพ้ ทำให้เป็นสิว ที่เกิดจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น แพ้สกินแคร์ที่ใช้ แพ้น้ำ ก็สามารถใช้โลชั่นในการบำรุงผิวหน้าได้ เพราะโลชั่นมีเนื้อบางเบา ไม่หนักหน้า จึงไม่ทำให้เกิดการอุดตันเพิ่มขึ้น ดังนั้น ผิวธรรมดาจึงสามารถเลือกใช้ได้ทั้งครีม และโลชั่นตามปัญหาผิวที่ต้องการฟื้นบำรุงได้เลย

เมื่อได้ไขข้อสงสัยจนกระจ่างกันไปแล้วว่าครีมกับโลชั่นต่างกันอย่างไร สภาพผิวแบบไหนควรเลือกใช้ครีม หรือโลชั่น ซึ่งในบางครั้งปัญหาผิวหน้าก็อาจจะต้องทาทั้งครีม และโลชั่นควบคู่กันไป และตามปกติแล้ว ในแต่ละวันจะต้องลงสกินแคร์เนื้อสัมผัสที่ซึมซับเข้าสู่ผิวได้ง่ายที่สุดก่อนเสมอ ดังนี้

  1. ล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์ในตอนเช้า ส่วนตอนเย็นให้เพิ่มขั้นตอนการเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าด้วยคลีนซิ่งก่อน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดผิวอย่างหมดจด
  2. เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกตกค้างอีกชั้น และปรับสมดุลผิวหลังล้างหน้า 
  3. โลชั่น ทรีตเมนต์ หรือเอสเซนส์ หรือเรียกง่ายๆ ว่าน้ำตบ เป็นขั้นตอนการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น เตรียมผิวให้ได้รับสารบำรุงจากสกินแคร์ในขั้นตอนต่อไป
  4. เซรั่ม ทาหลังขั้นตอนการตบน้ำตบ (เว้นบริเวณรอบดวงตา) เพราะมีเนื้อบางเบารองจากโลชั่น ทรีตเมนต์ หรือเอสเซนส์ 
  5. ครีมบำรุงรอบดวงตา อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเนื้อครีมจะหนัก และมีความหนืดมากกว่าเนื้อโลชั่น หากมีความจำเป็นที่ต้องทาในขั้นตอนเดียวกัน ต้องทาครีมหลังจากทาโลชั่นเท่านั้น
  6. มอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งต้องทาหลังเซรั่ม เพราะเนื้อมอยส์เจอไรเซอร์ค่อนข้างที่จะหนัก และจะเคลือบผิวในตอนแรก แต่เมื่อทาทิ้งไว้ เนื้อมอยส์เจอไรเซอร์จะซึมลงผิว เหลือไว้เพียงความชุ่มชื้น
  7. ปิดท้ายด้วยการทาครีมกันแดด ที่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นสกินแคร์ที่ปกป้องผิวจากแสงแดด และปกป้องจากสาเหตุของทุกปัญหาผิว หากถ้าใครต้องการที่จะแต่งหน้า ก็สามารถลงรองพื้น ตามด้วยขั้นตอนการแต่งหน้าอื่นๆ ได้เลย

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะมีคำถามที่ยังค้างคาใจนอกเหนือจากเรื่องครีมกับโลชั่นต่างกันอย่างไร ทาง Bioderma จึงได้รวบรวมคำถามที่พบได้บ่อยมาให้ศึกษาเพิ่มเติมกัน

ในความจริงแล้ว ทั้ง 2 คำนี้ มีรากศัพท์คำเดียวกันนั่นก็คือ Moisture ที่แปลว่า ความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นคำนาม หากถามว่า มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) กับมอยส์เจอไรซิ่ง (Moisturizing) ต่างกันอย่างไร คำตอบคือ ไม่ต่างกัน เพราะเป็นสกินแคร์ชนิดเดียวกัน คุณสมบัติเดียวกัน แต่เพราะการตลาดของแต่ละแบรนด์ที่ใช้ชื่อเรียกไม่เหมือนกัน ดังนี้

  • Moisturizer (n.) เป็นคำนาม ซึ่งแปลว่า สิ่งที่ทำให้มีความชุ่มชื้น 
  • Moisturizing (adj.) เป็นคำคุณศัพท์ ซึ่งแปลว่า การทำให้มีความชุ่มชื้น เป็นการขยายความ เช่น บางแบรนด์อาจจะใช้ Moisturizing Cream เพื่อสื่อให้เข้าใจว่า มอยส์เจอไรเซอร์ตัวนี้เป็นเนื้อครีมนั่นเอง

มอยส์เจอไรซิ่งชนิดครีม จะมีเนื้อสัมผัสที่หนืด และเข้มข้นกว่ามอยส์เจอไรซิ่งชนิดโลชั่นเล็กน้อย เพราะมีส่วนประกอบของสารลดแรงตึงผิว และกลีเซอรีนที่มากกว่า ในขณะที่มอยส์เจอไรซิ่งชนิดโลชั่นจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบที่มากกว่า ทำให้มีเนื้อสัมผัสที่บางเบา อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ในการกักเก็บความชุ่มชื้นของมอยส์เจอไรซิ่งทั้ง 2 ชนิดอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างในเรื่องของประสิทธิภาพมากนัก

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าครีมกับโลชั่นแตกต่างกันอย่างไร และเลือกใช้ตามสภาพผิวของแต่ละคนได้อย่างไร จึงไม่สามารถบอกได้ว่าอันไหนดีกว่ากัน ทว่าต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวหน้า เพื่อการบำรุงที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง

BIODERMA Sébium Pore refiner ครีมเวชสำอางที่ช่วยจัดการปัญหารูขุมขนกว้าง

บำรุงผิวได้ทุกวัน

ผิวผสมถึงผิวมัน

สิทธิบัตร Fluidactiv™

Sébium Pore refiner

ครีมเวชสำอางที่ช่วยจัดการปัญหารูขุมขนกว้าง

สำหรับใคร

ผู้ใหญ่, วัยรุ่น

BIODERMA Atoderm Intensive baume

บำรุงผิวได้ทุกวัน

ผิวแห้งมาก ระคายต่อผิวแพ้ง่าย

สิทธิบัตร Skin barrier therapy™

Atoderm Intensive baume

ครีมบำรุงผิวเนื้อเข้มข้น ช่วยปลอบประโลมผิวที่แห้งกร้าน ฟื้นบำรุงให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น

สำหรับใคร

สำหรับทุกคนในครอบครัว (ยกเว้นทารกที่คลอดก่อนกำหนด)

Bioderma Atoderm PP Baume หลอด 200 ml

บำรุงผิวได้ทุกวัน

ผิวแห้งมาก ระคายต่อผิวแพ้ง่าย

สิทธิบัตร Ecodefensine™

Atoderm PP Baume

บำรุงผิวชุ่มชื้นยาวนาน 24 ชั่วโมง

สำหรับใคร

สำหรับทุกคนในครอบครัว (เด็กอายุมากกว่า 3 ปี)