รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Radiation : UV) เป็นรังสีที่มาพร้อมกับ แสงแดด ในชีวิตประจำวัน หลายๆคนมีความเชื่อว่า เป็นรังสีที่อันตรายต่อชั้นผิวหนัง และควรหลีกเลี่ยงอย่างมาก ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ?

รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) คือ รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีความยาวคลื่นในช่วง 100 - 400 นาโนเมตร ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เนื่องจากช่วงความยาวคลื่นไม่ถึงช่วง Visible Light ที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ จึงทำให้รังสีอัลตราไวโอเลต มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า รังสีเหนือม่วง นั่นเอง

ดังนั้น บทความนี้ จึงจะมาไขข้อเท็จจริงให้กระจ่างว่า ความจริงแล้ว อัลตราไวโอแลต คืออะไร มาจากที่ไหน และมีประโยชน์ หรือ ผลกระทบอะไรบ้าง ไปชมได้พร้อมๆกันที่นี่

แสงอัลตราไวโอเลต หรือ รังสี uv คือ รังสีธรรมชาติที่มีแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่มาจากดวงอาทิตย์เป็นหลัก แต่ถึงอย่างนั้น มนุษย์ก็ยังสามารถสร้างรังสีนี้ขึ้นเองได้ เช่น จากการทำให้วัตถุนั้นๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น จนมากกว่า 2,500 องศาเคลวิน ก็จะสามารถปล่อยรังสีไวโอเลตออกมาได้

คลื่นอัลตราไวโอเลต แยกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ UVA UVB คือ รังสีที่เรามักจะพบได้ในชีวิตประจำวัน ส่วน UVC จะเป็นรังสีอันตรายที่ถูกกั้นเอาไว้ในชั้นบรรยากาศ เราจึงไม่ได้สัมผัสกับรังสีนี้ในชีวิตประจำวัน โดยรังสีแต่ละชนิด มีลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้

รังสี UVA (Long wave UVR หรือ Black light) ความยาวคลื่นรังสีอัลตราไวโอเลต ชนิด UVA จะอยู่ที่ประมาณ 300 - 400 นาโนเมตร พบในแสงแดดได้ ประมาณ 75% สามารถทะลุลงไปยังภายในชั้นผิวหนัง ทำลายสารองค์ประกอบที่สำคัญ จนส่งผลกระทบให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้ากระ และทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังขึ้นอีกด้วย

รังสีอัลตราไวโอเลต uva uvb

รังสี UVB (Middle UVR หรือ Sunburn radiation) ความยาวคลื่นจะอยู่ที่ประมาณ 290 - 320 นาโนเมตร พบได้ 18% ของแสงแดดที่ส่องลงมายังพื้นโลก ทำให้รังสีชนิดนี้ มีอำนาจในการทะลุเข้าสู่ชั้นผิวหนังกำพร้าและผิวหนังแท้ชั้นบน ส่งผลให้เกิดอาการผิวไหม้แดด แสบร้อน เกิดการระคายเคืองผิว และไวต่อแสงมากขึ้น เป็นต้น

รังสีอัลตราไวโอเลต uva uvb

รังสีอัลตราไวโอเลต ชนิด UVC (Short wave UVR หรือ Germicidal radiation) จะมีความยาวคลื่นประมาณ 200 - 290 นาโนเมตร ซึ่งเป็นรังสีคลื่นสั้นที่มักจะถูกดูดซับในชั้นบรรยากาศโอโซนไปทั้งหมด จึงทำให้ไม่มีรังสี UVC ส่องลงมายังพื้นโลกได้

ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ถ้าหากชั้นบรรยากาศไม่สามารถดูดซับรังสีชนิดนี้ไว้ได้ทั้งหมด ก็จะทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังเป็นอย่างมาก และอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

รังสีอัลตราไวโอเลต uva uvb

จากข้อมูลข้างต้น จะทำให้เราพอรู้แหล่งกำเนิด หรือลักษณะรังสีอัลตราไวโอเลตแต่ละชนิดไปแล้ว ในตอนนี้เราจะมาสังเกตพฤติกรรมของตนเองกันดูว่า มีพฤติกรรมอะไรบ้างที่อาจทำให้เราเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับรังสียูวีเหล่านี้มากเกินไปโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมที่เข้าข่ายมีลักษณะดังนี้

  1. ทำกิจกรรมท่ามกลางแสงแดดเป็นระยะเวลานาน หรือ ทั้งวัน
  2. ไปยังสถานที่ หรือ อยู่อาศัยในพื้นที่อากาศร้อนจัด เช่น ทะเล
  3. ไม่ทาครีมกันแดดปกป้องผิวก่อนออกจากที่พักอาศัยอย่างเป็นประจำ
  4. ไม่มีการดูแล บำรุงรักษาผิวให้แข็งแรง เมื่อผิวอ่อนแอลง ก็จะทำให้ไวต่อแสงแดดและถูกทำลายได้ง่ายขึ้น
  5. คนที่ต้องนั่งทำงานใกล้บริเวณหน้าต่าง หรือกระจก เพราะรังสีบางชนิดสามารถทะลุกระจกเข้ามาได้
  6. คนที่จำเป็นต้องทำงานกับเครื่องถ่ายเอกสารเป็นระยะเวลานาน หรือทุกๆวัน เพราะหลอดฟลูออเรสเซนท์ที่อยู่ภายในเครื่องถ่ายเอกสาร สามารถปล่อยแสงอัลตราไวโอเลตได้
  7. ผู้ที่ใช้หลอดไฟประเภทฮาโลเจน (Halogen Lamp) ฟลูออเรสเซนท์ (Fluorescent Light)ความเข้มของแสงระดับสูง และหลอดยูวีฆ่าเชื้อโรค (Germicide Lamp)
  8. ไม่มีการใช้อุปกรณ์เสริมช่วยเหลือขณะออกไปทำกิจกรรมกลางแสงแดด เช่น หมวกกันแดด แว่นตากันแดด หรือเสื้อคลุมกันแดด เป็นต้น
รังสีอัลตราไวโอเลต พฤติกรรมเสี่ยงรับ uv

ประโยชน์รังสีอัลตราไวโอเลต

ถึงแม้ว่ารังสีอัลตราไวโอเลต จะเป็นรังสีที่ทุกๆคนมักจะหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญ และดูเหมือนว่าก็สามารถทำร้ายผิวของเราได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งที่น้อยคนจะกล่าวถึง คือ ความเป็นจริงแล้ว รังสีอัลตราไวโอเลต ก็ยังมีประโยชน์อยู่เช่นกัน โดยหากได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะทำให้มีประโยชน์ ดังนี้

  • ช่วยกระตุ้นการสร้างวิตามินดีให้แก่ร่างกาย
  • สามารถนำรังสีอัลตราไวโอเลตไปรักษาโรคกระดูกและโรคผิวหนังบางชนิดได้ เช่น โรคด่างขาว โรคสะเก็ดเงิน โรคกระดูกอ่อนในเด็ก ฯลฯ
  • เป็นแบล็กไลต์ (black light) เพื่อตรวจเอกสารสำคัญ
  • ใช้ในการวิเคราะห์แร่ต่างๆได้
  • ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคภายในน้ำดื่ม อาหาร หรือเครื่องมือต่างๆ
    นำรังสีอัลตราไวโอเลตมาประยุกต์ใช้ในทางการเกษตรได้

อันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลต

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า รังสีอัลตราไวโอเลตอาจทำให้เกิดผลกระทบต่างๆขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…

  • เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร ผิวหนังเหี่ยวย่น
  • ผิวคล้ำแดด ผิวไหม้แดด หน้าหมองคล้ำ
  • หน้าเป็นฝ้า เกิดจุดด่างดำ ฝ้าแดง ฝ้าแดด กระ
  • ภาวะสิวผด
  • ผิวไวต่อแสงมากขึ้น
  • เกิดอาการแพ้แสงแดด ระคายเคือง
  • มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
  • เมื่อสัมผัสกับดวงตาโดยตรง จะทำให้เกิดโรคต้อเนื้อ โรคต้อกระจก เยื่อบุตาและกระจกตาอักเสบ
  • ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต

ก่อนที่ผิวจะโดนทำร้ายไปมากกว่านี้ ทาง Bioderma ขอแนะนำวิธีการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตฉบับง่ายๆ มาฝากทุกๆคนกัน ได้แก่…

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นระยะเวลานานจนเกินไป โดยเฉพาะเวลา 10.00 - 16.00 น. ที่เป็นช่วงแสงแดดแรงที่สุด
  • แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าที่คลุมผิวในส่วนต่างๆไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง
  • ใช้อุปกรณ์เสริม เช่น การใช้ร่ม แว่นตากันแดด หมวก เสื้อคลุมกันแดด

แต่สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยในการปกป้องผิวได้ดีที่สุด ไม่ให้เกิด ฝ้ากระจุดด่างดำ คือ การใช้ครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB อย่างเป็นประจำ เพราะรังสีอัลตราไวโอเลต คุณสมบัติของแต่ละชนิดแตกต่างกัน จึงทำให้จำเป็นต้องเลือกครีมกันแดดที่มีค่า spf กับ ค่า pa อย่างเหมาะสม

โดยค่า Spf คือ ค่าที่บ่งบอกถึงระดับความสามารถในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ชนิดยูวีบี(UVB) ไม่ให้เข้ามาทำให้ผิวไหม้แดด ระคายเคือง หรือเกิดรอยแดงได้ ส่วน pa คือ ค่าที่ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ชนิดยูวีเอ(UVA) ไม่ให้ผิวเกิดการเหี่ยวย่น จุดด่างดำ ฝ้า กระ ริ้วรอยต่างๆ รวมไปจนถึงลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย

สรุป

รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มนุษย์อย่างเราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ UVA UVB และ UVC ซึ่งแต่ละชนิดของรังสีอัลตราไวโอเลต คุณสมบัติแตกต่างกัน เราจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ครีมกันแดดที่สามารถปกป้องได้อย่างครอบคลุม เพื่อไม่ให้ผิวถูกทำลายจนมีสภาพที่อ่อนแอ ไม่แข็งแรง

หากคุณกำลังตามหาครีมกันแดดที่สามารถปกป้องผิวของคุณจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างครบถ้วน และไม่ตกค้างสะสมหรือเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมแล้วหล่ะก็ ทาง Bioderma ขอเสนอครีมกันแดด Photoderm Aquafluide และครีมกันแดด Photoderm Cover Touch

Bioderma Photoderm Max Aquafluide

Bioderma Photoderm Aquafluide SPF50+ PA ++++ ครีมกันแดดสูตรน้ำนม ที่ไม่มีส่วนผสมของสารพาราเบน น้ำหอม เหมาะสำหรับ ผิวแพ้ง่าย สามารถกันเหงื่อได้ดี ปกป้องคุณจากรังสีได้อย่างยาวนานถึง 8 ชั่วโมง ผ่านการทดสอบแล้วว่า มีความอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมในท้องทะเล

Bioderma Photoderm Cover Touch SPF 50+

Bioderma Photoderm Cover Touch SPF50+ PA++++ ครีมกันแดดสีเนื้อ สูตรมิเนอรัล(Mineral) 100% เน้นปกปิด คุมมัน ถึง 8 ชั่วโมง สามารถกันน้ำ กันเหงื่อได้ โดยไม่อุดตันรูขุมขน ลดการเกิดจุดด่างดำและริ้วรอยจากแสงแดด เหมาะกับผิวผสม-ผิวมัน อ่อนโยน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม

ปกป้องผิวจากแสงแดด

ผิวแพ้ง่ายที่ต้องเผชิญกับแสงแดด

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm)

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม

คุณกำลังมองหาครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงสำหรับผิวของคุณอยู่หรือเปล่า

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm) คือผลิตภัณฑ์กันแดดครบวงจรสำหรับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวที่มีความไวต่อแสงแดด  โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างแสงแดดหรือสารเคมีผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวมันถึงผิวเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ