Key Takeaway

  • วิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับผิวช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากการระคายเคืองและปัญหาผิวต่างๆ เช่น สิว ฝ้า และผิวแห้ง หรือมันเกินไป
  • ค่าป้องกันผิวจากแสงแดดมี SPF (Sun Protection Factor) และ PA (Protection Grade of UVA) SPF วัดการป้องกันรังสี UVB ส่วน PA วัดการป้องกันรังสี UVA
  • วิธีเลือกครีมกันแดดตามประเภทผิว ผิวมันใช้เนื้อบางเบาหรือเจลควบคุมความมัน ผิวแห้งเลือกสูตรเพิ่มความชุ่มชื้น ผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายเลือกผลิตภัณฑ์อ่อนโยน ผิวธรรมดาเลือกสูตรที่มีส่วนผสมไม่ซับซ้อน 

 




วิธีเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับสภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผิวของคุณได้รับการปกป้องจากแสงแดดอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมดูแลสุขภาพผิวในทุกประเภท ผลิตภัณฑ์กันแดดโฟโตเดิร์ม (Photoderm) จาก BIODERMA ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ได้กับทุกสภาพผิวของทุกคนในครอบครัว ตอบโจทย์ผิวแต่ละประเภท รวมถึงผิวแพ้ง่าย และเสริมการปกป้องผิวจากภายในด้วยเทคโนโลยีสิทธิบัตรเฉพาะ SUN ACTIVE DEFENSE™ , ENVIRONMENTAL ACTIVE DEFENSE™ และ DETOX SCIENCE TECHNOLOGY
 

ครีมกันแดดคืออะไร?

ครีมกันแดด (Sunscreen) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งสามารถทำให้ผิวไหม้ หมองคล้ำ และเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง การทาครีมกันแดดเป็นประจำจึงสำคัญ เนื่องจากมีส่วนผสมที่ช่วยดูดซับหรือสะท้อนรังสี UV และปกป้องผิวจากอันตรายต่างๆ ทั้งจากผิวชั้นนอกและชั้นลึก
 

ทำไมต้องใช้ครีมกันแดดปกป้องผิวจากแสงแดด

การใช้ครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากรังสียูวีจากดวงอาทิตย์มีถึง 3 ชนิด ได้แก่ รังสี UVA-I, UVA-II และ UVB ซึ่งแต่ละชนิดมีผลกระทบต่อผิวที่แตกต่างกัน รังสี UVA-I และ UVA-II สามารถทะลุถึงชั้นผิวหนังแท้ ทำให้เกิดผิวไหม้แดด การทำลายคอลลาเจน ความชุ่มชื้น และเพิ่มโอกาสเกิดผิวเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย รวมถึงเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง ส่วนรังสี UVB จะส่งผลที่ชั้นผิวหนังกำพร้า ทำให้เกิดปัญหาผิวหมองคล้ำ ฝ้าแดด หรือผิวไหม้จากแดด ครีมกันแดดที่ดีจึงควรปกป้องได้จากทั้งรังสี UVA และ UVB วิธีการเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA ที่เหมาะสมตามสภาพผิวจะช่วยให้การปกป้องจากรังสีอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ครีมกันแดดในปัจจุบัน สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทหลักๆ ตามคุณสมบัติของการป้องกันรังสียูวี ดังนี้
 

Chemical Sunscreen

กันแดดแบบเคมี (Chemical Sunscreen) ใช้สารเคมีในการดูดซับรังสียูวีและเปลี่ยนเป็นความร้อนเพื่อป้องกันไม่ให้รังสีทะลุสู่ผิวหนัง สารเคมีหลักที่พบ ได้แก่ Panimate O, Bensophenone, Cinnamates และ Oxybenzone ซึ่งมักจะเป็นเนื้อครีมข้นหรือเป็นน้ำนมที่ซึมซับได้ง่าย เหมาะสำหรับผิวธรรมดาถึงผิวมัน

อย่างไรก็ตามสารเคมีในครีมกันแดดอาจเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสแสงแดด ดังนั้น นอกจากวิธีเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมแล้ว ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพสูงสุด
 

Physical Sunscreen

กันแดดแบบกายภาพ (Physical Sunscreen) ใช้สาร Titanium Dioxide และ Zinc Oxide เพื่อสะท้อนรังสียูวีออกจากผิวหนังเหมือนกระจกสะท้อน โดยมีลักษณะเนื้อครีมที่ค่อนข้างหนาและดูดซึมได้ยากกว่าแบบเคมี แต่มีข้อดีคือระคายเคืองน้อย เป็นวิธีการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวบอบบางและผิวแพ้ง่าย
 

Hybrid Sunscreen

ครีมกันแดดแบบผสม (Hybrid Sunscreen) ใช้ส่วนผสมเช่น Tinosorb M ที่มีทั้งกลไกการดูดซับและสะท้อนรังสียูวีจากผิวหนัง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการระคายเคืองจากสารเคมีและลดการขาววอก เป็นวิธีเลือกครีมกันแดดพร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องแสงแดด

ปัจจุบันทางผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดเองก็ต้องการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานครีมกันแดดมากยิ่งขึ้น จึงมีการผลิตประเภทของครีมกันแดดหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้งานครีมกันแดดเอง

 

1. ครีมกันแดดแบบสเปรย์

ครีมกันแดดรูปแบบสเปรย์ใช้ง่ายในสภาพอากาศร้อน เพราะไม่เหนียวเหนอะหนะติดผิว ซึมไวไม่ทิ้งคราบ ไม่อุดตันในผิว ถือเป็นวิธีเลือกครีมกันแดดสำหรับคนเป็นสิวง่าย เพราะครีมกันแดดรูปแบบนี้ไม่ทำให้เกิดปัญหาสิวอุดตัน สิวอักเสบให้กวนใจ
 

2. ครีมกันแดดแบบโลชั่น

ครีมกันแดดเนื้อเข้มข้นสุดจากประเภทครีมกันแดดทั้งหมด จึงมีคุณสมบัติกันน้ำ กันเหงื่อได้ดี ทำให้ครีมกันแดดไม่ไหลเยิ้ม ให้ทิ้งคราบหมองให้หนักใจระหว่างวัน และด้วยเนื้อที่หนัก อาจจะใช้ทาในช่วงที่อากาศเย็นก็จะช่วยบำรุงผิวไม่ให้แห้งแตกได้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งข้อควรรู้สำหรับวิธีเลือกซื้อครีมกันแดดที่มีความทนทานสูงและให้การปกป้องที่ยาวนาน

3. ครีมกันแดดแบบสติ๊ก

ครีมกันแดดแบบสติ๊ก หรือครีมกันแดดแบบแท่ง เป็นครีมกันแดดที่ช่วยทำให้การทาครีมกันแดดระหว่างวันง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะครีมกันแดดชนิดจะสามารถพกพาออกข้างนอกได้สะดวก ไม่ต้องใช้มือสัมผัสกับครีมกันแดด ทำให้ลดการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายนั้นเอง เป็นอีกวิธีเลือกกันแดดที่สะดวกและใช้งานง่าย
 

4. ครีมกันแดดเจล

เป็นหนึ่งในครีมกันแดดที่ใช้งานง่าย เพราะมีเนื้อบางเบา พลาดไม่ได้กับวิธีเลือกครีมกันแดดของผู้ใช้ที่อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว หรือผู้ที่มีสภาพผิวมัน ก็สามารถใช้ได้อย่างไม่รำคาญใจ ด้วยเนื้อกันแดดที่เบา ซึมซาบง่าย ไม่ทิ้งความมันไว้บนผิว และเป็นกันแดดไม่อุดตันรูขุมขน
 

ทำไมการเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับผิว ถึงดีกว่า

วิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากผิวแต่ละประเภทมีความต้องการที่แตกต่างกัน ครีมกันแดดที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องจากรังสียูวีและลดปัญหาผิว เช่น การระคายเคืองหรือการเกิดสิวจากการเลือกครีมกันแดดที่ไม่เหมาะสม ผิวบอบบางจะได้รับประโยชน์จากครีมกันแดดที่มีส่วนผสมอ่อนโยน เช่น แบบกายภาพ ในขณะที่ผิวมันหรือผิวแห้งควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อสัมผัสเหมาะสม เพื่อให้การปกป้องผิวจากแสงแดดมีประสิทธิภาพสูงสุดและดูแลผิวให้มีสุขภาพดี

การเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อให้ครีมกันแดดสามารถป้องกันรังสียูวีจากแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการปกป้องจากทั้งรังสี UVA และ UVB รวมถึงไม่ก่อให้เกิดอาการระคายผิวสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง และผิวแพ้ง่าย โดยวิธีเลือกซื้อครีมกันแดดให้เหมาะสม ควรเลือกดังนี้
 

เลือกจากมาตรฐานในการใช้วัดค่าป้องกันรังสี UVA

ปัจจุบันมาตรฐานในการใช้วัดค่าป้องกันรังสี UVA ยังไม่ได้มีหน่วยวัดที่กำหนดมาตรฐานอย่างเป็นสากล แต่มีหน่วยวัดที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปอยู่ 2 หน่วยวัด คือ PPD และ PA (+)
 

PPD

PPD หรือ Persistent Pigment Darkening เป็นมาตรฐานที่ใช้บ่งบอกว่าครีมกันแดดตัวนั้นๆ สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA ได้มากเท่าไร โดยค่า PPD มักอยู่ในผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่ผลิตและจัดจำหน่ายในทวีปยุโรปเป็นหลัก โดยค่า PPD ที่เหมาะสมควรเลือกที่ PPD 10 ขึ้นไป
 

PA (+)

PA (+) หรือ Protection Grade of UVA เป็นมาตรฐานค่าป้องกันรังสี UVA ของทางสมาคมอุตสาหกรรมและเครื่องสำอางประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งมีหน่วยวัด PA (+) ที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • PA+ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ในระดับเริ่มต้น
  • PA++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ในระดับกลาง
  • PA+++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ในระดับสูง
  • PA++++ คือ มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ในระดับสูงสุด

สำหรับแดดเมืองไทย ค่า PA (+) ที่เหมาะสมควรเลือกเป็น PA+++ หรือ PA++++
 

เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 หรือมากกว่านั้น

สำหรับมาตรฐานที่ใช้ในการวัดค่าป้องกันรังสี UVB ทั่วโลก เรียกว่า SPF หรือ Sun Protection Factor โดยตัวเลขที่บ่งบอกค่าป้องกันรังสี UVB จะเป็นค่าที่ประเมินว่าครีมกันแดดนั้นๆ สามารถป้องกันรังสี UVB ได้มากกว่าปกติกี่เท่า โดยในประเทศไทยอนุญาตให้เคลมค่า SPF ตั้งแต่ 15 ไปจนถึง SPF 50 หากมากกว่า 50 บนผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดมักกำกับเอาไว้เป็น SPF 50+

 

อย่างไรก็ตาม การวัดค่า SPF ว่าครีมกันแดดสามารถป้องกันรังสี UVB ได้กี่เท่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินเท่านั้น เนื่องจากการปกป้องผิวจากแสงแดด อาจขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น สภาพอากาศ ระยะเวลาในการออกแดด หรือช่วงเวลาที่สัมผัสกับแสงแดด รวมถึงการสัมผัส การเสียดสี น้ำ และเหงื่อไคล เป็นต้น

 

ยกตัวอย่าง

ค่า SPF 30 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้มากกว่าปกติ 30 เท่า หากเดินออกแดด 15 นาที ผิวจะเกิดการแสบหรือแดง การทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ก็จะช่วยให้อยู่กลางแดดได้นานขึ้น 30 เท่า (15 X 30 = 450) หรือราวๆ ประมาณ 7 ชั่วโมง หากเกิน 7 ชั่วโมง ต้องทาครีมกันแดดซ้ำ
 

เลือกครีมกันแดดที่ป้องกันได้ครอบคลุม

วิธีเลือกครีมกันแดดที่ดีควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB เนื่องจากทั้งสองรังสีมีผลเสียต่อผิวในระยะยาว หากขาดการป้องกันจากรังสีใดรังสีหนึ่ง อาจส่งผลให้ผิวได้รับความเสียหาย ดังนั้น ควรเลือกครีมกันแดดที่ระบุบนฉลากว่า “Broad Spectrum” ซึ่งหมายถึงการปกป้องทั้งรังสี UVA และ UVB

นอกจากนี้คุณสามารถเลือกประเภทครีมกันแดดตามความต้องการ เช่น แบบเคมี แบบกายภาพ หรือแบบผสม แต่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีคุณสมบัติในการป้องกันรังสีทั้งสองประเภท เพื่อให้การปกป้องผิวจากแสงแดดมีประสิทธิภาพสูงสุด
 

เลือกครีมกันแดดที่กันน้ำได้

การเลือกกันแดดที่กันน้ำได้ เป็นวิธีเลือกกันแดดที่ดี เพราะจะช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดได้แม้ผิวจะเปียกน้ำ หรือเปียกเหงื่อ อีกทั้งยังไม่ทำให้เนื้อครีมกันแดดไหลเยิ้ม หรือหลุดลอกออกได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับน้ำ โดยกันแดดที่มีคุณสมบัติกันน้ำได้จะมีให้เลือก ดังนี้

  • Water Resistant (40 Minutes) คือ กันแดดที่สามารถกันน้ำได้นาน 40 นาที
  • Waterproof (80 Minutes) คือ กันแดดที่สามารถกันน้ำได้นาน 80 นาที
     

เลือกจากส่วนผสมของครีมกันแดด

การเลือกครีมกันแดดควรพิจารณาส่วนผสมที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวในระยะยาว ดังนั้นวิธีเลือกกันแดดจากส่วนผสมจึงเป็นวิธีที่สำคัญในการปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือส่วนผสมที่ควรและไม่ควรมีในครีมกันแดด
 

ส่วนผสมที่ควรมีในครีมกันแดด

  • Benzophenone-3 (Oxybenzone)
  • Titanium Dioxide
  • Zinc Oxide
  • Terephthalylidene Dicamphor Sulfonic Acid
  • Bis-Benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol หรือ Tinosorb M
     

ส่วนผสมที่ไม่ควรมีในครีมกันแดด

  • แอลกอฮอล์
  • พาราเบน (Parabens)
  • สาร PABA (กรดพารา-อะมิโนเบนโซอิก)
  • Octyl Methoxycinnamate (สารออกทิลเม็ทท๊อกซ์ซี่ซินาเมท)
  • Salicylate (สารซาลิไซเลต)
  • Octocrylene (สารออกโตไคลีน)
     

เลือกจากลักษณะเนื้อครีมกันแดด

เนื่องจากสภาพผิวของผู้ใช้งานครีมกันแดดมีความหลากหลายแตกต่างกันไป ดังนั้นวิธีเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิวแต่ละประเภทจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดี และไม่ก่อปัญหาผิวอื่นๆ ตามมา เราลองมาดูชนิดเนื้อสัมผัสของครีมกันแดดกันเลย

  • ครีมกันแดดเนื้อมูสเป็นเนื้อครีมกันแดดแบบบางเบา เนื้อค่อนข้างคงตัว เกลี่ยง่าย ทาง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่อุดตันผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวแห้งไปจนถึงสภาพผิวธรรมดา
     
  • ครีมกันแดดเนื้อแป้งครีมกันแดดที่มีลักษณะเป็นผง จึงไม่ทิ้งความมันไว้ เมื่อทาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนทาแป้ง จึงมีส่วนช่วยคุมมัน ทำให้เหมาะกับการเป็นครีมกันแดดหน้าสำหรับผู้ที่มีหน้ามัน
     
  • ครีมกันแดดเนื้อเจลเนื้อสัมผัสเป็นเจลบางเบา สบายผิว เกลี่ยง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ จึงไม่ก่อการอุดตันในรูขุมขน และมักเป็นผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดไม่มีสี ทำให้ทาไปแล้วหน้าไม่ลอย เหมาะที่จะเป็นครีมกันแดดสำหรับคนเป็นสิว และผิวมัน
     
  • ครีมกันแดดเนื้อน้ำนมครีมกันแดดเนื้อสีขาว เหลว เหมือนน้ำนม จึงเกลี่ยง่าย ซึมซาบไว แต่ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เหมาะสำหรับทั้งผู้มีสภาพผิวมัน หรือผิวแห้งก็สามารถใช้ได้ เนื่องจากแม้จะช่วยคงความชุ่มชื้นในผิว แต่ไม่ทิ้งความมันเอาไว้บนผิวนั้นเอง

ครีมกันแดดเนื้อเซรั่มครีมกันแดดเนื้อน้ำเซรั่ม ซึมลงบนผิวได้ดี เบาบาง ไม่ไหลเยิ้มระหว่างวัน ลดโอกาสการอุดตันผิว ส่วนใหญ่มักจะเป็นครีมกันแดด ไม่ผสมรองพื้น ทำให้หน้าไม่ลอยผิดเฉดสี เหมาะสำหรับเป็นครีมกันแดดผิวแพ้ง่าย หรือผิวมัน

วิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาผิว

สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการเลือกครีมกันแดด คือวิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิว เพื่อให้การใช้ครีมกันแดดมีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงของผิวระคายง่าย หรือผิวอุดตัน เนื่องจากผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวแห้งระคาย หรือผิวเป็นสิว โดยสามารถเลือกครีมกันแดดให้เหมาะสมกับสภาพผิวได้ง่ายๆ ดังนี้
 

ผิวมัน

ผิวมันเกิดจากการผลิตซีบัมที่มากเกินไป ทำให้ผิวมีความมันเยิ้มและรูขุมขนกว้าง ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดสิว การเลือกครีมกันแดดสำหรับผิวมันหรือคนเป็นสิว ควรเลือกครีมกันแดดสูตรน้ำที่มีเนื้อบางเบา และช่วยควบคุมความมัน เช่น Photoderm XDefense Ultra-Fluid (Invisible) ครีมกันแดดสำหรับผิวมัน  

โดยให้สัมผัสแบบ Dry Touch ที่ช่วยให้ผิวแมตต์ หรือ Photoderm XDefense Ultra-Fluid (Shade 01) ครีมกันแดดสีเนื้ออ่อน ที่เหมาะสำหรับผิวที่มีแนวโน้มไวต่อแสงแดดและฝ้า มีเทคโนโลยีขั้นสูง Environmental Active Defense ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และฝุ่น มลภาวะ พร้อมทั้งเทคโนโลยี Detox Science ที่ช่วยดีท็อกซ์ผิว และดีท็อกซ์อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสและดูสุขภาพดี

หากต้องการกันแดดที่ไม่มีสีสำหรับวันที่อยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปข้างนอกควรเลือกใช้ Photoderm AKN Mat SPF30 ซึ่งมีคุณสมบัติในการป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB ด้วยเทคโนโลยี SUN ACTIVE DEFENSE เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ แต่มีเนื้อสัมผัสแบบเหลวใส ไม่มีสี ไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่มัน ช่วยปกป้องผิวได้โดยไม่ทำให้ผิวแห้ง เหมาะสำหรับคนที่อยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมข้างนอก เพราะสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดและมลภาวะในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

ผิวแห้ง ผิวระคาย แพ้ง่าย

ผิวแห้ง ผิวระคาย และผิวแพ้ง่าย มักมีปัญหาผิวลอกเป็นขุย แห้งตึง และหยาบกร้าน ซึ่งอาจนำไปสู่การระคายและผิวแก่ก่อนวัย การเลือกครีมกันแดดสำหรับผิวประเภทนี้จึงควรเน้นสูตรที่บางเบา ให้ความชุ่มชื้นสูง และอ่อนโยนต่อผิว เช่น Photoderm Aquafluide SPF 50+ (Invisible) และ Photoderm Aquafluide SPF50+ (Light color) ซึ่งเป็นครีมกันแดดน้ำนมสูตรใหม่จาก BIODERMA ใช้ตัวกรองแสงเพียง 4 ชนิด แต่เสริมประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี SUN ACTIVE DEFENSE ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ครีมกันแดดยังมีคุณสมบัติควบคุมความมัน พร้อมให้ความชุ่มชื้นยาวนานถึง 8 ชั่วโมง เนื้อบางเบา ไม่ทิ้งคราบขาว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มัน เหมาะสำหรับใช้เป็นเมกอัพเบส อ่อนโยนต่อผิวรอบดวงตา ไม่มีน้ำหอม ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน และทนน้ำ ความร้อน และความชื้นได้ดีอีกด้วย
 

ผิวธรรมดา

ผิวธรรมดาเป็นผิวที่มีความสมดุล แข็งแรง เรียบเนียน และมีปัญหาผิวน้อย จึงสามารถเลือกใช้ครีมกันแดดได้หลากหลายตามความต้องการ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกสูตรที่มีส่วนผสมไม่ซับซ้อน และสามารถปกป้องผิวได้อย่างครอบคลุมทั้งรังสี UVA และ UVB

แนะนำ Photoderm XDefense Ultra-Fluid (Invisible) และ Photoderm XDefense Ultra-Fluid (Shade 01) ที่มีเนื้อสัมผัสแบบ Ultra Fluid บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบขาว และให้สัมผัสแบบ Dry Touch ผิวแมตต์ ใช้ได้ทั้งเป็นเมกอัพเบส หรือใช้ในวันสบายๆ เหมาะกับทุกสภาพผิว และตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายอย่างลงตัว
 

ผิวเป็นสิวง่าย

ผิวที่เป็นสิวง่ายมักเกิดจากความไม่สมดุลของผิว เช่น การผลิตน้ำมันมากเกินไปหรือผิวแห้งจนกระตุ้นให้ร่างกายสร้างน้ำมันออกมาทดแทน ส่งผลให้รูขุมขนอุดตัน ปราการผิวอ่อนแอ และมีแนวโน้มระคายเคืองหรือเกิดสิวได้ง่าย ดังนั้น การเลือกครีมกันแดดสำหรับผิวเป็นสิวและผิวแพ้ง่ายจึงควรให้ความสำคัญกับสูตรที่อ่อนโยน มีเนื้อสัมผัสบางเบา ไม่แต่งสีหรือกลิ่น และไม่อุดตันรูขุมขน

วิธีเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม เช่น Photoderm AKN Mat SPF30 กันแดดเนื้อบางเบา สูตรไม่มีสี ช่วยควบคุมความมันและลดความเสี่ยงการอุดตัน หรือ Photoderm XDefense Ultra-Fluid (Invisible) และ Photoderm XDefense Ultra-Fluid (Shade 01) ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูง ปกป้องผิวจากรังสี UVA/UVB และมลภาวะ พร้อมเทคโนโลยีดีท็อกซ์ ให้ผิวกระจ่างใส ชุ่มชื้นยาวนานถึง 8 ชั่วโมง และควบคุมความมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

ไม่ควรใช้ครีมกันแดดทาตัวมาทาหน้า

ครีมกันแดดมีทั้งสูตรสำหรับผิวหน้าและผิวกาย ซึ่งแต่ละชนิดถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพผิวในบริเวณที่แตกต่างกัน แต่หลายคนอาจยังเข้าใจผิด นำครีมกันแดดสำหรับผิวกายมาใช้กับผิวหน้า ซึ่งในความเป็นจริงไม่ควรใช้สลับกัน เพราะครีมกันแดดสำหรับผิวกายมักมีเนื้อสัมผัสเข้มข้นกว่า และอาจมีส่วนผสมที่ไม่เหมาะกับผิวหน้าที่บอบบางกว่า จึงอาจก่อให้เกิดการอุดตัน ระคายเคือง หรือปัญหาผิวอื่นๆ ได้ในระยะยาว
 

เลือกตามกิจวัตรประจำวัน

วิธีเลือกครีมกันแดดตามกิจวัตรประจำวันช่วยให้การปกป้องผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากต้องอยู่ในออฟฟิศหรือในร่ม ควรเลือกสูตรบางเบา SPF30 ขึ้นไป ส่วนวันไหนที่ต้องออกแดดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF50+ PA++++ พร้อมคุณสมบัติกันน้ำ กันเหงื่อ สำหรับวันแต่งหน้าเบาๆ หรือวันสบายๆ อาจเลือกสูตรที่เป็นเมกอัพเบสในตัว ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนโดยไม่ต้องลงหลายขั้นตอน

ผู้ใช้ครีมกันแดดควรทาให้ทั่วร่างกายประมาณ 1 ออนซ์ หรือเท่ากับ 1 แก้วช็อต เพื่อให้การป้องกันแดดมีประสิทธิภาพสูงสุด หากใช้ปริมาณน้อยเกินไปอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง สำหรับใบหน้าและลำคอควรใช้ประมาณ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร หรือเทียบง่ายๆ คือทากันแดด 2 ข้อนิ้วให้ทั่วผิวอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทำตามวิธีทากันแดดที่ถูกต้อง ดังนี้

  • ควรทาครีมกันแดดให้ทั่วทุกบริเวณของผิวที่ไม่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อผ้า
  • ใช้ครีมกันแดดในปริมาณไม่น้อยกว่า 1 ออนซ์ เพื่อให้เพียงพอกับขนาดร่างกายของผู้ใช้
  • ควรทาลงบนผิวที่แห้งก่อนออกแดดอย่างน้อย 15 – 30 นาที
  • ต้องทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง หรือบ่อยกว่านั้นหากมีการว่ายน้ำหรือเหงื่อออกมาก
     

สรุป

วิธีเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมสำหรับตัวเองนั้น ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย รวมถึงสภาพผิวและกิจวัตรประจำวันของคุณ ซึ่งจะช่วยให้การปกป้องผิวจากแสงแดดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเริ่มจากการเลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ หากคุณมีผิวมัน ควรเลือกครีมกันแดดที่เนื้อบางเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะ เพื่อไม่ให้ผิวมันเพิ่มขึ้นและเกิดปัญหาสิว

หากคุณมีผิวแห้ง การเลือกครีมกันแดดที่ให้ความชุ่มชื้นจะช่วยปกป้องผิวจากการแห้งกร้านและช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิวได้ดีขึ้น ในขณะที่ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกครีมกันแดดที่มีสูตรอ่อนโยนและปราศจากสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยทุกวัน

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม

ปกป้องผิวจากแสงแดด

ผิวแพ้ง่ายที่ต้องเผชิญกับแสงแดด

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm)

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม

คุณกำลังมองหาครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงสำหรับผิวของคุณอยู่หรือเปล่า

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm) คือผลิตภัณฑ์กันแดดครบวงจรสำหรับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวที่มีความไวต่อแสงแดด  โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างแสงแดดหรือสารเคมีผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวมันถึงผิวเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ