Key Takeaway

  • รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากการอักเสบของผิวหรือการบีบ แกะสิว จนผิวสร้างคอลลาเจนซ่อมแซมผิดปกติ ทำให้เกิดรอยแดง รอยดำ หรือแผลเป็นถาวร
  • รอยแผลเป็นจากสิวแบ่งหลักๆ เป็น 4 แบบ คือ รอยแดง (PIE) รอยดำ (PIH) รอยหลุมสิว (Atrophic Scars) และรอยนูน (Hypertrophic / Keloid) แต่ละแบบมีวิธีดูแลต่างกัน
  • วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว ใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยที่มีส่วนผสม เช่น Vitamin C, Niacinamide, Retinol, AHA/BHA หรือทำหัตถการ ควบคู่กับการทากันแดด
  • วิธีป้องกันรอยแผลเป็นจากสิว หลีกเลี่ยงการบีบสิว ดูแลสิวตั้งแต่เริ่มอักเสบ ทาครีมกันแดด ใช้สกินแคร์อ่อนโยน และดูแลความสะอาดผิวอย่างสม่ำเสมอ

 

บางครั้งสิวหายแล้ว แต่สิ่งที่ทิ้งไว้กลับไม่ใช่ผิวเนียนใส แต่คือ ‘รอยแผลเป็นจากสิว’ ที่เกิดจากกระบวนการซ่อมแซมตัวเองของผิวหลังการอักเสบ หากคอลลาเจนสร้างไม่สมดุลก็จะกลายเป็นรอยลึก หรือรอยนูนที่อยู่กับผิวเราไปอีกสักพัก วิธีดูแลให้ดีขึ้นทำได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น ทาครีมกันแดดทุกวัน และบำรุงหรือดูแลด้วยวิธีธรรมชาติ แม้จะไม่ได้เห็นผลในคืนเดียว แต่ถ้าค่อยๆ ดูแลอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ รอยแผลเป็นจากสิวก็จางลงได้จริง ผิวแข็งแรงขึ้น และทำให้เรารู้สึกมั่นใจมากกว่าที่เคย!

รอยแผลเป็นจากสิว เกิดจากอะไร?

รอยแผลเป็นจากสิวไม่ได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากสิวหาย แต่เกิดจากการที่ผิวพยายามซ่อมแซมตัวเองหลังการอักเสบของสิว หากกระบวนการซ่อมแซมนี้ไม่สมดุล ผิวก็จะทิ้งร่องรอยไว้ ทั้งในรูปแบบของหลุมสิวหรือรอยนูนแทนผิวเรียบเนียน 

 

สาเหตุของรอยแผลเป็นจากสิว 

  • สิวอักเสบรุนแรง เช่น สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง หรือสิวที่มีการอักเสบลึกจนทำลายผิวใต้ชั้นผิวหนัง
  • บีบ แกะ หรือกดสิวด้วยตัวเอง ทำให้ผิวช้ำ ติดเชื้อ และกระตุ้นให้เกิดรอยแผลหรือหลุมลึก
  • กระบวนการซ่อมแซมผิวสร้างคอลลาเจนผิดสมดุล
     
    • สร้างน้อยเกินไป ทำให้เกิดหลุมสิว
    • สร้างมากเกินไป ทำให้เเกิดรอยนูน เช่น แผลคีลอยด์ หรือ Hypertrophic scars
       
  • ผิวที่ติดเชื้อหรืออักเสบซ้ำๆ ทำให้ผิวไม่มีโอกาสฟื้นตัว ส่งผลให้เกิดรอยลึกถาวร
  • ดูแลสิวไม่ถูกวิธีหรือปล่อยให้เรื้อรัง ทำให้สิวลุกลามและทำลายเนื้อเยื่อผิวมากขึ้น

 

รอยแผลเป็นจากสิว หายเองได้ไหม?

รอยแผลเป็นจากสิวบางประเภทสามารถจางลงได้เองตามธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ทุกรอยที่จะหายไปเอง หากเป็นแค่รอยแดงหรือรอยดำ (Post-inflammatory erythema / Hyperpigmentation) ผิวสามารถฟื้นตัวและจางลงได้เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะถ้าดูแลผิวดีและทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ

แต่ถ้าเป็นหลุมสิวหรือรอยนูน แผลเป็นจริงๆ ถือว่าเป็นความเสียหายของผิวชั้นลึก จะไม่หายเอง และต้องอาศัยการดูแลด้วยวิธีหัตถการหรือยาทาลดแผลเป็นเพื่อช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ดังนั้น รอยแผลเป็นจากสิวบางแบบอาจจางได้เอง แต่หากเป็นรอยลึกหรือมีมานาน การดูแลโดยแพทย์จะช่วยให้เห็นผลเร็วและชัดเจนมากกว่าการปล่อยให้ผิวฟื้นเอง

รอยแผลเป็นจากสิวมีกี่แบบ

รอยแผลเป็นจากสิวไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่แบ่งได้หลายประเภทตามลักษณะของผิวที่ถูกทำลาย และวิธีดูแลก็แตกต่างกันไปด้วย หากเข้าใจประเภทของรอยแผลเป็น ก็จะช่วยเลือกแนวทางดูแลได้ตรงจุดมากขึ้น

 

1. รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema)

รอยแดงจากสิวเกิดจากการอักเสบของผิวที่ทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณนั้นขยายตัว เมื่อสิวหายแล้วเส้นเลือดยังไม่หดกลับ ผิวจึงทิ้งรอยแดงไว้แทนผิวเรียบปกติ พบในคนที่มีผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือชอบบีบ แกะสิวจนผิวช้ำ เกิดจากเส้นเลือดใต้ผิว ไม่ใช่เม็ดสีผิวเหมือนรอยดำ จึงเห็นชัดเวลาหน้าแดง อากาศร้อน หรือหลังออกกำลังกาย ถ้าดูแลผิวดีๆ และทากันแดดสม่ำเสมอ รอยแดงสามารถจางลงได้เองในช่วงไม่กี่เดือน แต่หากรุนแรง อาจต้องใช้วิธีทางการแพทย์ช่วยกระตุ้นให้หายเร็วขึ้น

 

2. รอยดำจากสิว (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)

รอยดำจากสิวเกิดขึ้นหลังผิวมีการอักเสบ เช่น สิวอักเสบหรือการบีบ แกะสิว ทำให้ร่างกายกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินผลิตมากขึ้นเพื่อซ่อมแซมผิวบริเวณนั้น ผลคือทิ้งรอยสีน้ำตาลเทา หรือคล้ำกว่าสีผิวปกติไว้ตรงจุดที่เคยเป็นสิว รอยแบบนี้ไม่ใช่แผลเป็นถาวร แต่เป็นการสะสมของเม็ดสีใต้ผิว จึงสามารถค่อยๆ จางลงเองได้ หากดูแลผิวดีและทากันแดดสม่ำเสมอ แต่ถ้าปล่อยผิวให้โดนแดดหรือขาดการบำรุง รอยก็อาจเข้มขึ้นหรืออยู่กับเราไปอีกนานหลายเดือนเลยทีเดียว 

 

3. รอยหลุมสิว (Atrophic Scar)

รอยหลุมสิว คือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบรุนแรงจนผิวชั้นลึกถูกทำลาย ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาซ่อมแซมไม่ทันหรือไม่เพียงพอ จึงทิ้งรอยลึกไว้บนผิวแทน ผิวเลยไม่เรียบเสมอเหมือนเดิม และต้องใช้เวลาดูแลนานกว่ารอยแดงหรือรอยดำทั่วไป

  • Rolling Scars เกิดจากการอักเสบใต้ผิวนานๆ ทำลายคอลลาเจนจนผิวเกิดเป็นลอนคลื่น ผิวดูยุบแบบไม่เป็นขอบชัด คล้ายผิวไม่เรียบทั้งบริเวณ
  • Boxcar Scars ผิวถูกทำลายลึกเป็นวงกว้าง มีขอบค่อนข้างชัด เหมือนแอ่งตื้นหรือลึกคล้ายกล่องหรือกระทะขอบตั้ง เกิดหลังสิวอักเสบหรือฝีสิว
  • Ice-pick Scars เกิดจากสิวอักเสบลึกลงไปจนทำลายผิวเป็นรูแหลมลึก คล้ายรอยเข็มแทง เป็นหลุมสิวที่ดูแลยาก เพราะลึกถึงชั้นผิวหนังแท้

 

4. รอยนูนจากสิว (Hypertrophic / Keloid Scar)

รอยนูนจากสิวเกิดจากการที่ผิวสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในช่วงที่กำลังซ่อมแซมตัวเองหลังการอักเสบของสิว ทำให้ผิวบริเวณนั้นนูนสูงขึ้นกว่าผิวปกติ แทนที่จะเป็นรอยยุบเหมือนหลุมสิว Hypertrophic Scar จะนูนเฉพาะบริเวณที่เคยเป็นสิว ส่วน Keloid Scar จะนูนลามออกจากขอบเดิมของแผล ดูหนา แข็ง และสีเข้มกว่า สีชมพู แดง หรือน้ำตาล พบบ่อยในคนที่ผิวไวต่อการสร้างแผลเป็น หรือมีประวัติเป็นคีลอยด์มาก่อน

รอยชนิดนี้ไม่หายเอง ต้องได้รับการดูแลด้วยวิธีเฉพาะ เช่น ฉีดยาสเตียรอยด์ เลเซอร์ หรือซิลิโคนแผ่นปิดแผล เพื่อช่วยให้รอยนูนค่อยๆ แบนราบลง

วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว

รอยแผลเป็นจากสิวไม่เพียงทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวัน หากปล่อยทิ้งไว้นาน ผิวอาจฟื้นได้ยากขึ้น หรือรอยอาจฝังลึกจนต้องใช้เวลาดูแลนานกว่าเดิม ดังนั้นการเริ่มดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้รอยจางไว และลดโอกาสเกิดรอยถาวรในอนาคตได้มากกว่า

 

รักษารอยแผลเป็นจากสิวแบบธรรมชาติ

บางคนอาจยังไม่อยากเริ่มใช้ยา หรือทำหัตถการ เพราะกลัวผิวระคาย วิธีธรรมชาติจึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทั้งอ่อนโยนและเข้าถึงง่าย แม้เห็นผลช้ากว่าวิธีทางการแพทย์ แต่หากทำสม่ำเสมอก็ช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลง และช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นได้

วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวแบบธรรมชาติ

  • เจลว่านหางจระเข้ ช่วยลดการอักเสบ เติมความชุ่มชื้น และกระตุ้นการซ่อมแซมผิว เหมาะกับรอยแดงหรือผิวแพ้ง่าย
  • น้ำผึ้งแท้ มีสารต้านแบคทีเรียและช่วยให้ผิวสมานแผลเร็วยิ่งขึ้น สามารถทาบางๆ ก่อนนอน แล้วล้างออกตอนเช้า
  • น้ำมันสกัดจากพืช เช่น Rosehip Oil หรือ Jojoba Oil ช่วยฟื้นบำรุงผิว ลดรอยสิว และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
  • น้ำมะเขือเทศหรือมะนาว (ใช้ด้วยความระมัดระวัง) มีวิตามิน C และ AHA ธรรมชาติ ช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่ควรทดสอบก่อนใช้ เพราะอาจทำให้ผิวระคายได้
  • ขมิ้นผงผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ต มีฤทธิ์ลดการอักเสบและช่วยให้ผิวดูสว่างขึ้น สามารถใช้พอกเฉพาะจุดได้
  • ดื่มน้ำเยอะและทานผักผลไม้ ช่วยให้ผิวได้รับวิตามินจากภายใน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ

 

ใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น

การดูแลรอยแผลเป็นจากสิวด้วยครีมลดรอยแผลเป็นจากสิวช่วยให้รอยดูจางลงได้เร็วกว่าแค่ปล่อยให้เวลาผ่านไป เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกออกแบบให้มีส่วนผสมที่ช่วยซ่อมแซมผิว กระตุ้นคอลลาเจน หรือลดเม็ดสีสะสม ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมต่อไปนี้

  • Silicone (ซิลิโคนเจล) ช่วยเคลือบแผลเป็น ลดการสูญเสียน้ำ และควบคุมการสร้างคอลลาเจนเกินพอดี โดยเฉพาะในแผลนูน เช่น Hypertrophic หรือ Keloid scars
  • Vitamin C, Niacinamide, Azelaic Acid ช่วยลดเม็ดสี (Hyperpigmentation) และทำให้รอยดำหรือรอยแดงจากสิวจางลง หากใช้ต่อเนื่อง
  • Retinoids (วิตามิน A อนุพันธ์) ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้พื้นผิวเรียบเนียนกว่าเดิม
  • AHAs / BHAs เช่น Glycolic Acid / Salicylic Acid ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และช่วยให้รอยจางลงในคนที่ผิวคล้ำหรือมีเม็ดสีสะสม

ข้อแนะนำสำคัญ ก่อนเลือกผลิตภัณฑ์ควรทดสอบจุดเล็กๆ บนผิวก่อนใช้ หากมีอาการระคายให้หยุดใช้ และหากเป็นหลุมสิวลึกหรือรอยนูน ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังร่วมด้วย

 

หมั่นทาครีมกันแดด 

การทาครีมกันแดดเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในการลดรอยแผลเป็นจากสิว เพราะแสงแดดกระตุ้นให้เม็ดสีใต้ผิวทำงานมากขึ้น ทำให้รอยแดงหรือรอยดำเข้มขึ้นและจางช้ากว่าปกติ การทากันแดดจะช่วยสร้างเกราะป้องกันผิว ลดการถูกทำร้ายจากรังสี UVA และ UVB ตัวการของรอยหมองคล้ำและการอักเสบซ้ำ ควรทาซ้ำทุก 2 - 3 ชั่วโมง หากต้องออกแดดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพื่อการปกป้องที่มีประสิทธิภาพ

คุณสมบัติกันแดดที่ควรมองหาคือค่า SPF 30 - 50 ขึ้นไป และ PA+++ หรือ PA++++ เพื่อป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB ได้ครบ สูตร Non-comedogenic และ Oil-free ไม่อุดตันรูขุมขน เหมาะสำหรับคนเป็นสิวหรือมีปัญหารอยสิว มีส่วนผสมช่วยปลอบประโลมผิว เช่น Niacinamide, Centella Asiatica, Panthenol หรือ Zinc Oxide ช่วยลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดรอยใหม่

Photoderm XDefense ครีมกันแดดสูตรน้ำบางเบา ดูแลผิวแพ้ง่ายและสิวง่ายโดยเฉพาะ มาพร้อมเทคโนโลยี Environmental Active Defense และ Detox Science ช่วยเสริมเกราะปกป้องผิวจากรังสี UVA/UVB แสงที่มองเห็น คลื่นความร้อน และมลภาวะ ฟื้นบำรุงให้ผิวกระจ่างใส แข็งแรง ไม่หมองง่ายเหมือนเดิม

 

วิธีป้องกันรอยแผลเป็นจากสิว

การดูแลผิวตั้งแต่ช่วงที่สิวยังไม่หายดี คือวิธีที่ดีในการป้องกันรอยแผลเป็น เพราะเมื่อผิวอักเสบมากขึ้น หรือโดนกระตุ้นซ้ำๆ ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดรอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิวในภายหลัง ดังนั้น การป้องกันตั้งแต่ต้นจึงช่วยไม่ให้ต้องเสียเวลาฟื้นบำรุงผิวนานในอนาคต 

  • หลีกเลี่ยงการบีบ แกะ หรือเกาสิว เพราะทำให้ผิวช้ำ รูขุมขนอักเสบ และสร้างรอยแผลเป็นถาวรได้ง่าย
  • ดูแลสิวตั้งแต่เริ่มอักเสบ ด้วยยาทาแต้มสิวหรือพบแพทย์ เพื่อไม่ให้สิวลุกลามจนทิ้งรอยไว้
  • ทาครีมกันแดดทุกวัน เพราะแสงแดดกระตุ้นให้รอยแดงและรอยดำเข้มขึ้น และจางช้ากว่าปกติ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารระคายผิว เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบมากกว่าเดิม 
    • Sebium H2O คลีนซิ่งไมเซล่าสูตรอ่อนโยนสำหรับผิวมันหรือเป็นสิวง่าย ช่วยเช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกไม่ให้ตกค้าง พร้อมลดความมันบนผิวหน้าโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึง เหมาะกับการใช้ทุกวันเพื่อผิวสะอาดและสดชื่น
    • Sebium Serum เซรั่มเข้มข้นสำหรับลดโอกาสเกิดสิว ผลัดเซลล์ผิว ลดรอยสิวและริ้วรอย พิด้วยเทคโนโลยี FLUIDACTIV™ ช่วยดูแลสิวอย่างตรงจุด คืนความชุ่มชื้น 8 ชั่วโมง ให้ผิวเรียบเนียนและสดใส
    • Sebium Pore Refiner ครีมบำรุงสูตรพิเศษเพื่อกระชับรูขุมขน ลดความมันส่วนเกิน ป้องกันการอุดตัน เนื้อบางเบาใช้เป็นเมกอัปเบสได้ เหมาะกับผิวผสมถึงผิวมัน ช่วยให้ผิวดูละเอียดและกระจ่างใส
  • ดูแลความสะอาดผิวหน้าและเครื่องใช้ที่สัมผัสผิว เช่น ปลอกหมอน ผ้าขนหนู โทรศัพท์ หรือแปรงแต่งหน้า 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหารที่ดีต่อผิว ช่วยให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้ดี ลดโอกาสเกิดสิวและรอยตามมา

 

สรุป

รอยแผลเป็นจากสิวเกิดจากกระบวนการที่ผิวพยายามซ่อมแซมตัวเองหลังการอักเสบ หากผิวซ่อมตัวไม่สมบูรณ์หรือถูกกระตุ้นซ้ำ เช่น บีบสิว แกะสิว ก็อาจทิ้งรอยไว้ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร รอยแผลเป็นจากสิวแบ่งเป็นรอยแดง รอยดำ รอยหลุมสิว และรอยนูน ซึ่งแต่ละแบบมีสาเหตุและวิธีดูแลที่ต่างกัน

ลบรอยแผลเป็นจากสิวด้วยการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน ไม่ควรแคะ แกะ เกา หรือใช้สกินแคร์ที่ระคายผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิว เช่น ครีมรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่มีสารจำพวก Vitamin C, Niacinamide, Retinoids, Centella Asiatica หรือ AHA/BHA ควบคู่กับการทาครีมกันแดดทุกวัน เพื่อป้องกันรอยเข้มขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถเสริมด้วยวิธีธรรมชาติหรือทำหัตถการโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อผลลัพธ์ที่ดี

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรอยแผลเป็นจากสิว (FAQ)

 

ทำไมหลังเป็นสิวต้องมีแผล?

หลังเป็นสิวมักมีแผลหรือรอย เพราะสิวอักเสบทำลายเนื้อเยื่อและคอลลาเจนใต้ผิว หรือเกิดจากการบีบ แกะ เกา ทำให้เกิดการบาดเจ็บและอักเสบลึก ส่งผลให้ผิวสร้างรอยแดง รอยดำ หรือหลุมสิวในจุดที่เคยเป็นสิว

 

รอยแผลเป็นจากสิว กี่วันหาย?

รอยแผลเป็นจากสิวแบบรอยแดงมักจางลงใน 1 - 3 เดือน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการดูแล รอยดำหรือจุดด่างดำบางกรณีอาจหายภายใน 3 - 6 เดือน ส่วนหลุมสิวหรือแผลเป็นถาวรอาจต้องดูแลเฉพาะทางถึงจะจางลง

 

ทำไมรอยดำจากสิวหายช้า?

รอยดำเกิดเพราะผิวบริเวณที่อักเสบผลิตเมลานินมากกว่าปกติ การฟื้นบำรุงผิวจึงใช้เวลานานกว่ารอยชนิดอื่น โดยเฉพาะหากไม่ได้ทาครีมกันแดดหรือดูแลผิวอย่างเหมาะสม รอยดำก็จางช้าลงอีก

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม

ทำความสะอาดและบำรุงผิว

ผิวผสมถึงผิวเป็นสิวง่าย

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium)

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม

ผิวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากผิวจะมีความหนามากขึ้น มันเงา เกิดสิวอักเสบเป็นจุดมากน้อยแตกต่างกันไป และบางครั้งก็ยังคงเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่อีกด้วย

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) เป็นผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อผิวมันและเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลผิวที่แพทย์ผิวหนังแนะนำโดยเฉพาะ ทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับผิวมัน อย่างเจลล้างหน้าและไมเซล่า วอเตอร์ มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวง่าย และอื่นๆ อีกมากมาย เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประจำวันให้ตัวคุณเลย!