ดูแลแบบตรงจุด จบปัญหาสิวด้วยเซรั่มลดรอยสิวและลดโอกาสเกิดสิว
บอกลาปัญหาสิวและรอยสิวซ้ำซาก ด้วยเซรั่มลดรอยสิวและช่วยลดโอกาสเกิดสิวใหม่ พร้อมฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงอย่างตรงจุด ดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผิวเรียบเนียน
บอกลาปัญหาสิวและรอยสิวซ้ำซาก ด้วยเซรั่มลดรอยสิวและช่วยลดโอกาสเกิดสิวใหม่ พร้อมฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงอย่างตรงจุด ดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผิวเรียบเนียน
Key Takeaway
เซรั่มลดรอยสิวและลดโอกาสเกิดสิว ถือเป็นไอเทมสำคัญที่คนเป็นสิวหรือมีรอยสิวไม่ควรพลาด เพราะช่วยดูแลผิวให้รอยจางลง พร้อมป้องกันการเกิดสิวใหม่ เหมาะที่จะมีติดบ้านหรือมีไว้ใน Skincare Routine ประจำวัน บทความนี้จะพาไปดูว่า ทำไมเซรั่มชนิดนี้ถึงเป็นเซรั่มสำหรับคนเป็นสิว วิธีใช้ให้เห็นผล และเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณ
รอยสิวบนใบหน้ามักทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ โดยรอยสิวที่พบได้บ่อย ได้แก่ รอยแดง รอยดำ และรอยหลุมสิว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดตามหลังสิวอักเสบหรือสิวอุดตัน หากไม่ได้ดูแลอย่างถูกวิธีหลังสิวหาย ปัญหารอยสิวจึงตามมาได้ง่าย
รอยแดงจากสิวเกิดจากกระบวนการฟื้นบำรุงผิวที่ทำให้หลอดเลือดใต้ผิวขยายตัว เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ ส่วนรอยดำมักเกิดจากการบีบหรือแกะสิว ทำให้กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้นจนผิวเข้มขึ้น ขณะที่รอยหลุมสิวเกิดจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาซ่อมแซมแผลจากสิวอักเสบ แต่กระบวนการนี้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ผิวไม่เรียบและเกิดหลุมขึ้นถาวร
ก่อนจะเลือกเซรั่มลดสิวให้เหมาะกับผิว ควรมาทำความรู้จักกันก่อนว่ารอยสิวนั้นมีอยู่กี่ประเภท เพื่อที่เราจะได้เลือกผลิตภัณฑ์ได้ตรงจุดและแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รอยสิวแบบรอยดำมักเกิดจากสิวอักเสบ สิวอุดตัน หรือการรักษาสิวไม่ถูกวิธี เช่น แกะหรือบีบสิว จนผิวระคายเป็นแผลและตกสะเก็ด กระตุ้นให้เมลาโนไซต์ (Melanocytes) ผลิตเมลานินมากกว่าปกติ ทำให้เกิดจุดสีเข้มตั้งแต่น้ำตาลถึงดำ ส่งผลให้สีผิวไม่สม่ำเสมอและมองเห็นได้ชัด
รอยดำจากสิวมักพบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวสีเข้ม เนื่องจากเซลล์เมลาโนไซต์ใต้ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากกว่าผิวขาว แม้รอยดำจะไม่ถาวรและสามารถจางลงได้เองตามธรรมชาติภายในประมาณ 4 - 6 เดือน แต่หากต้องการให้จางเร็วขึ้น ควรรักษาด้วยวิธีที่ถูกต้องและเหมาะสม
รอยแดงเป็นหนึ่งในรอยสิวที่พบบ่อย มีลักษณะเป็นจุดสีแดง ม่วง หรือชมพู เกิดจากกระบวนการฟื้นบำรุงผิวของร่างกายที่ทำให้เส้นเลือดใต้ผิวขยายตัว เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดการอักเสบ จึงมองเห็นเป็นรอยแดงบนผิวได้ชัด โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวขาว ส่วนคนผิวเข้มมักเห็นรอยแดงได้ยากกว่า มักเกิดจากสิวอุดตัน สิวอักเสบ รวมถึงการบีบหรือแกะสิว ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ควรทำ เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้สิวอักเสบมากขึ้น
รอยแดงสิวสามารถจางหายได้เองภายในประมาณ 2 - 4 เดือน ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับรอยสิวประเภทอื่น แต่หากต้องการให้รอยจางไวขึ้น ควรใช้วิธีดูแลและรักษาที่ถูกต้องควบคู่กันไป
รอยหลุมสิว คือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวอักเสบรุนแรง เมื่อสิวหายแล้ว ร่างกายไม่สามารถสร้างคอลลาเจนได้เพียงพอหรือสร้างผิดรูป ทำให้ผิวบริเวณนั้นยุบตัวลง กลายเป็นรอยหลุมถาวร ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ได้แก่
1. รอยหลุมสิวแบบ Rolling Scar หลุมสิวชนิดนี้รุนแรงน้อยที่สุด กว้างราว 4 - 5 มม. ลักษณะวงกลมหรือวงรี ขอบไม่ชัด ตื้นแบบแอ่งกระทะ และรักษาได้ง่ายที่สุด
2.รอยหลุมสิวแบบ Box scar Scar หลุมสิวระดับปานกลาง กว้างประมาณ 3 - 4 มม. รูปสี่เหลี่ยม ขอบชัด ลึกลงไปในผิวแบบกล่อง แต่ไม่ถึงชั้นรูขุมขน และรักษาได้ง่ายกว่าหลุมสิว Ice Pick
รอยหลุมสิวแบบ Ice Pick Scar หลุมสิวรุนแรงที่สุด กว้างน้อยกว่า 2 มม. ขอบชัด ลึกเป็นรูปตัววีหรือกรวยถึงชั้นรูขุมขน ทำให้รักษายากและใช้เวลานาน
รอยสิวบางชนิดฝังลึกบนผิว จึงหายช้า รอยดำแม้สามารถจางเองได้ตามธรรมชาติ แต่ใช้เวลานานถึง 4 - 6 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณเมลานิน ส่วนรอยแดงจะจางเร็วกว่า ใช้เวลาประมาณ 2 - 4 เดือน การรักษารอยสิวอย่างถูกวิธีช่วยเร่งให้รอยดำและรอยแดงจางเร็วขึ้น แต่ต้องทำต่อเนื่องเพื่อให้เห็นผลเต็มที่
สำหรับการรักษาและป้องกันรอยสิว ควรเน้นการผลัดเซลล์ผิวและดูแลผิวอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยลดรอยดำ รอยแดง และหลุมสิว พร้อมป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ มีวิธีดังนี้
การทำความสะอาดหน้าด้วยคลีนซิ่งที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว อย่าง Sebium H2O ที่มีส่วนผสมของ Copper Sulfate และ Zinc Gluconate จะช่วยทำความสะอาดผิวล้ำลึก ควบคุมเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ลดความมัน และลดการอุดตันภายในรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว เมื่อใบหน้าสะอาด ผิวก็จะไม่ระคาย และลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบได้ด้วย
แสง UV สามารถทำให้สิวแก่ตัวเร็วขึ้นและกระตุ้นการผลิตเม็ดสี ส่งผลให้เกิดรอยดำหรือรอยแดงบนผิวได้ หากจำเป็นต้องออกแดด ควรทาครีมกันแดด อย่าง Photoderm XDefense Ultra-Fluid SPF50+ สี Invicible เทคโนโลยี Environmental Active Defense ที่ช่วยปกป้องครอบคลุมทั้งรังสี UVB, UVA, Long UVA แสงสีฟ้า คลื่นความร้อน และมลภาวะ ผสานนวัตกรรม Detox Science ที่ช่วยดีท็อกซ์และฟื้นบำรุงผิวจากแสงแดด ทำให้ผิวแข็งแรง กระจ่างใส และสุขภาพดีจากภายใน ควบคู่กับการสวมเสื้อผ้าปกป้องผิว หรือใช้ร่มเพื่อป้องกันแสง UV เพิ่มความปลอดภัยให้ผิว
การบีบ เกา หรือแคะสิวทำให้ผิวระคายและเพิ่มโอกาสเกิดการอักเสบ ส่งผลให้สิวหายช้าลง ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิว เพื่อให้ผิวสามารถฟื้นบำรุงได้อย่างเต็มที่
สุขภาพภายในที่ดีสะท้อนออกมาที่ผิว การรับประทานอาหารมีประโยชน์ ลดของมัน ของทอด และเพิ่มผลไม้ที่อุดมด้วยสารแอนติออกซิแดนท์ จะช่วยลดการอักเสบของสิวและบำรุงผิวให้แข็งแรง
ส่วนผสมสำคัญในเซรั่มลดรอยสิวที่ควรมีจะช่วยลดการเกิดรอยสิว รอยแดง รอยดำ และฟื้นบำรุงผิวให้เรียบเนียนอย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้
Vitamin C เป็นส่วนผสมยอดนิยมในเซรั่มลดรอยสิวหรือเซรั่มรักษาสิว เนื่องจากช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ ปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างใส ป้องกันความเสียหายจากแสง UV และต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฟื้นบำรุงผิวให้ดูสุขภาพดีหลังเกิดสิว
กรดไฮยาลูรอนิกเป็นส่วนประกอบสำคัญในเซรั่มสิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำ ช่วยให้ผิวฟื้นตัวและดูสุขภาพดีหลังเกิดสิว
Niacinamide หรือวิตามินบี 3 เป็นส่วนประกอบในเซรั่มลดรอยสิวที่ช่วยปรับสมดุลการสร้างน้ำมันบนผิวหน้า กระชับรูขุมขน ทำให้ผิวแข็งแรง และลดโอกาสเกิดรอยสิว เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายหรือระคายผิวง่าย
สารแอนติออกซิแดนท์ (Antioxidant) ตัวนี้ในเซรั่มลดรอยสิวช่วยซ่อมแซมผิวที่ดูแก่กว่าวัย และชะลอการเสื่อมสภาพของร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ซึ่งเกิดจากการสัมผัสแสงแดด รับประทานของมัน ของทอด ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ
เรตินอล (Retinol) เป็นวิตามินเอชนิดหนึ่งที่มักพบในเซรั่มลดรอยสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวเรียบเนียน ลดการอุดตันของรูขุมขน จึงช่วยลดโอกาสเกิดรอยสิว และยังป้องกันริ้วรอยก่อนวัยได้ด้วย
AHA หรือกรดผลไม้ เป็นส่วนผสมที่มักพบในเซรั่มลดรอยสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ให้ดูสดใส กระจ่างขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีผิวหมองคล้ำหรือมีรอยจากสิว
การเลือกเซรั่มลดรอยสิวที่เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคนมีความสำคัญ เพราะการเลือกอย่างถูกต้องช่วยลดโอกาสระคายผิว ป้องกันสิวกลับมาเกิดซ้ำ และทำให้รอยสิวจางลงได้อย่างปลอดภัย โดยมีวิธีเลือกดังนี้
สำหรับคนที่มีผิวแห้ง ควรเลือกเซรั่มสิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความอิ่มน้ำให้ผิว เช่น Hydrabio Sérum ซึ่งมีสารสกัดจากเมล็ดแอปเปิล ช่วยกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ ทำให้ผิวชุ่มชื้นอย่างยั่งยืน แบบทันทีและยาวนานถึง 24 ชั่วโมง ปรับผิวให้เรียบเนียน แลดูกระจ่างใส พร้อมเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม อ่อนโยนต่อผิว
ผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำและหน้าไม่สดใส Sensibio Defensive Serum เป็นตัวเลือกเซรั่มสิวที่ดี ด้วยคุณสมบัติจากสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยให้ผิวแข็งแรงสู้มลภาวะต่างๆ ทำให้ผิวนุ่มสบายทันทีที่ใช้ พร้อมให้ความชุ่มชื้นยาวนาน 24 ชั่วโมง ปรับผิวให้แลดูกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย เหมาะกับทุกสภาพผิว แม้ผิวบอบบาง แพ้ง่าย หรือระคายผิวง่าย มีเนื้อสัมผัสเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ และซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย
สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวควรเลือก Sébium Serum เป็นเซรั่มลดสิวอุดตัน ช่วยลดโอกาสเกิดสิวอุดตันซ้ำ ปรับรูขุมขนให้เล็กลง ลดเลือนริ้วรอย และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น อีกทั้งยังอ่อนโยนต่อผิวหน้า พร้อมมอบความชุ่มชื้นยาวนานถึง 8 ชั่วโมง
นอกจากการเลือกเซรั่มลดรอยสิวที่เหมาะกับผิวแล้ว การใช้ให้ถูกวิธีก็สำคัญเช่นกัน เพื่อให้ผิวหน้าดีขึ้นและรอยสิวจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำได้ดังนี้
หากใบหน้ามีสิ่งสกปรกตกค้าง อาจทำให้เซรั่มลดรอยสิวซึมเข้าสู่ผิวได้ไม่เต็มที่ จึงควรเริ่มด้วยการใช้คลีนซิ่ง เช็ดเครื่องสำอางและสิ่งสกปรกออกให้หมด เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการฟื้นบำรุงในขั้นต่อไป
หลังล้างหน้าเรียบร้อย ให้ซับผิวพอหมาดๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นบนหน้า และช่วยให้เซรั่มลดรอยสิวซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลังทาเซรั่มแล้ว หากต้องการใช้ครีมบำรุงชนิดอื่น ควรเว้นระยะเล็กน้อยประมาณ 1 - 2 นาที เพื่อให้เซรั่มลดรอยสิวซึมเข้าสู่ผิวได้เต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้ครีมบำรุงในขั้นตอนถัดไปทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น
ก่อนซื้อเซรั่มลดรอยสิว ควรตรวจสอบส่วนผสมและคุณสมบัติว่าเหมาะกับสภาพผิวของตัวเองหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หรือผิวแพ้ง่าย การเลือกเซรั่มที่ตรงกับสภาพผิวจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ดังนั้นการศึกษาส่วนผสมก่อนตัดสินใจซื้อจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
เซรั่มลดรอยสิวเป็นสกินแคร์ที่ช่วยลดเลือนรอยแดง รอยดำ และจุดด่างดำจากสิว ด้วยส่วนผสมสำคัญอย่างวิตามินซี Niacinamide และ AHA/BHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและฟื้นบำรุงผิวใหม่ ควรเลือกสูตรให้เหมาะกับสภาพผิว ใช้เป็นประจำหลังล้างหน้า และทาครีมกันแดดทุกวัน เพื่อให้รอยสิวจางลงอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดซ้ำ
มาทำความรู้จักกับเซรั่มลดรอยสิวให้มากขึ้น ผ่านคำถามที่คนส่วนใหญ่มักสงสัยเกี่ยวกับการใช้เซรั่มลดรอยสิว เพื่อให้เข้าใจวิธีใช้ ผลลัพธ์ และการเลือกเซรั่มที่เหมาะกับผิวของคุณได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
โดยทั่วไป เซรั่มลดรอยสิวจะเริ่มเห็นผล รอยแดง รอยดำค่อยๆ จางลงภายใน 2 - 4 สัปดาห์ แต่รอยสิวลึกอาจต้องใช้ต่อเนื่อง 2 - 3 เดือนขึ้นไปเพื่อผลลัพธ์ชัดเจน
ควรใช้เซรั่มลดรอยสิวตอนกลางคืน เพราะผิวจะฟื้นตัวได้เต็มที่ เซรั่มจึงซึมเข้าสู่ผิวได้ดีกว่าและเห็นผลชัดเจนกว่าในตอนเช้า
สามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นได้ แต่ควรเว้นระยะเล็กน้อยหลังทาเซรั่มลดรอยสิว เพื่อให้ซึมเข้าสู่ผิวอย่างเต็มประสิทธิภาพก่อนใช้ครีมหรือเซรั่มตัวอื่น
ผิวผสมถึงผิวเป็นสิวง่าย
ผิวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากผิวจะมีความหนามากขึ้น มันเงา เกิดสิวอักเสบเป็นจุดมากน้อยแตกต่างกันไป และบางครั้งก็ยังคงเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่อีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) เป็นผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อผิวมันและเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลผิวที่แพทย์ผิวหนังแนะนำโดยเฉพาะ ทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับผิวมัน อย่างเจลล้างหน้าและไมเซล่า วอเตอร์ มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวง่าย และอื่นๆ อีกมากมาย เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประจำวันให้ตัวคุณเลย!