Key Takeaway

  • เปปไทด์ในสกินแคร์คือสายกรดอะมิโนขนาดเล็กที่ช่วยส่งสัญญาณกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นบำรุงผิว ให้ผิวดูสุขภาพดีและแข็งแรงขึ้น
  • เปปไทด์ในสกินแคร์แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักคือ Signal peptides, Carrier peptides, Enzyme-inhibitor peptides และ Neurotransmitter-inhibitor peptides แต่ละประเภทมีหน้าที่และกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน ช่วยดูแลผิวในด้านต่างๆ อย่างครบถ้วน
  • เปปไทด์มีประโยชน์ต่อผิว ดังนี้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น ฟื้นบำรุงผิวและเสริมเกราะปกป้องผิว เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว
  • เพื่อให้เปปไทด์ในสกินแคร์ทำงานได้เต็มที่ ควรใช้ใช้ในขั้นตอนเซรั่มหลังล้างหน้า ใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 4–8 สัปดาห์ ควบคู่กับครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับกรดแรงๆ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนและยาวนาน

 

หากคุณกำลังมองหาสกินแคร์ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวให้ดูมีชีวิตชีวา เรียบเนียนและกระจ่างใสอยู่ คงสังเกตเห็นคำว่า “เปปไทด์” อยู่บนฉลากของผลิตภัณฑ์สกินแคร์อยู่บ่อยๆ แม้จะเป็นส่วนผสมที่พบได้ทั่วไปในสกินแคร์ แต่หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่าเปปไทด์คืออะไร มีหน้าที่อย่างไรในการดูแลผิว และเหมาะกับใครบ้าง บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับเปปไทด์ให้มากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีใช้เปปไทด์อย่างถูกต้อง เพื่อให้เลือกใช้ได้อย่างมั่นใจและตรงกับความต้องการของผิว


 

เปปไทด์ในสกินแคร์คืออะไร?

เปปไทด์ (Peptide) คือสกรดอะมิโนสายสั้นที่เลียนแบบการทำงานของเปปไทด์ธรรมชาติ ช่วยส่งสัญญาณให้ผิวสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และช่วยในการดูแลผิว โดยเฉพาะไดเปปไทด์ซึ่งคือหน่วยย่อยของเปปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนเพียง 2 ตัว มีขนาดเล็กมากจนร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที ช่วยฟื้นบำรุงผิวได้ลึกถึงระดับเซลล์ และเสริมการทำงานของสกินแคร์

 

เปปไทด์ในสกินแคร์ช่วยให้ริ้วรอยแลดูลดลง เพิ่มความยืดหยุ่น เสริมเกราะปกป้องผิว และฟื้นบำรุงให้ผิวดูแข็งแรงสดใส 

โดยมีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิว หรือช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ซึ่งจะเห็นผลชัดเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

 

อย่างไรก็ตามยังมีความเข้าใจผิดว่าเปปไทด์ให้ผลเหมือนโบท็อกซ์ สามารถยกกระชับหรือเห็นผลได้ทันที ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะเปปไทด์ทำงานแบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้สม่ำเสมอจึงจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างลึกซึ้งและยั่งยืน ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบเร่งด่วน

 

เปปไทด์แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร?

เปปไทด์ในสกินแคร์มีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีหน้าที่และคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกัน การเลือกใช้เปปไทด์ที่เหมาะสมกับปัญหาผิวจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้การบำรุงผิวเห็นผลได้ชัดเจนและตรงจุดมากขึ้น

 

  • Signal peptides กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และไฮยาลูรอนิก แอซิดในผิว ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นและฟื้นบำรุงผิวที่ขาดความยืดหยุ่น
  • Carrier peptides ช่วยลำเลียงแร่ธาตุจำเป็น เช่น ทองแดง ไปยังเซลล์ผิว เสริมกระบวนการดูแลและฟื้นบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี
  • Enzyme-inhibitor peptides ช่วยคงความอ่อนเยาว์ของผิว ลดการเสื่อมสภาพของผิวในระยะยาว
  • Neurotransmitter-inhibitor peptides ช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง ทำให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้นและผิวเรียบเนียนมากขึ้น

 

เปปไทด์ยอดนิยมในสกินมีอะไรบ้าง?

เปปไทด์ในสกินแคร์มีหลายชนิด แต่บางตัวโดดเด่นและได้รับความนิยมสูง และช่วยเรื่องผิวพรรณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของริ้วรอย ความกระชับ และความชุ่มชื้นของผิว

 

  • Matrixyl (Palmitoyl Pentapeptide-4 หรือ Palmitoyl Pentapeptide-3) เปปไทด์ที่โดดเด่นเรื่องดูแลริ้วรอย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ มักพบสารนี้อยู่ในเปปไทด์ประเภท Signal peptide
  • Argireline (Acetyl Hexapeptide-8) ช่วยลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า จึงช่วยให้ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ดูตื้นลง มักพบสารนี้อยู่ในเปปไทด์ประเภท Neurotransmitter-inhibitor peptide
  • Copper Peptides (GHK-Cu) ช่วยดูแลผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และปลอบประโลมผิว เหมาะกับผิวที่ต้องการการฟื้นบำรุง มักพบสารนี้อยู่ในเปปไทด์ประเภท Carrier peptide
  • Syn-Ake (Dipeptide Diaminobutyroyl Benzylamide Diacetate) เปปไทด์เลียนแบบพิษงู มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังอย่างอ่อนๆ ช่วยดูแลริ้วรอยเฉพาะจุดได้ดี มักพบสารนี้อยู่ในเปปไทด์ประเภท Neurotransmitter-inhibitor peptide

Snap-8 เป็นรุ่นใหม่ของ Argireline ที่ช่วยดูแลริ้วรอย โดยเน้นยับยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มักพบสารนี้อยู่ในเปปไทด์ประเภท Neurotransmitter-inhibitor peptide

 

เปปไทด์มีประโยชน์อย่างไรต่อผิว?

Peptide คือสารสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน และเสริมเกราะปกป้องผิว การใช้สกินแคร์ที่มีเปปไทด์จึงช่วยฟื้นบำรุงผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยิ่งได้ผลดีเมื่อทำงานร่วมกับคอลลาเจนไดเปปไทด์ ซึ่งร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก

โดยเปปไทด์มีประโยชน์ต่อผิว ดังนี้

 

กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน

เปปไทด์ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเคมีที่ส่งไปยังเซลล์ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินมากขึ้น คอลลาเจนเป็นโปรตีนหลักที่ช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิวให้แข็งแรง ส่วนอีลาสตินช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและคืนรูปได้ดี เมื่อผิวมีคอลลาเจนและอีลาสตินในปริมาณที่เพียงพอ ผิวจะดูเต่งตึงและรู้สึกได้ว่าริ้วรอยลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

เปปไทด์ช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อเล็กๆ บนใบหน้า ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดการเกิดริ้วรอยและเส้นบางๆ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งเปปไทด์ยังช่วยกระตุ้นการผลิตสารให้ความชุ่มชื้นอย่างไฮยาลูรอน ซึ่งมีความสามารถในการกักเก็บน้ำไว้ในผิวได้มาก ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้น อิ่มฟู และนุ่มนวลขึ้น ช่วยให้ผิวดูเต่งตึง ทำให้ผิวดูสุขภาพดีและเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้นเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง

 

ฟื้นบำรุงผิวและเสริมเกราะดูแลผิว

เปปไทด์ช่วยฟื้นบำรุงผิวด้วยการกระตุ้นกระบวนการดูแลเซลล์ผิว ทำให้ผิวฟื้นบำรุงตัวเองได้เร็วขึ้นและลดความเสียหายจากปัจจัยภายนอก เช่น มลภาวะและแสงแดด นอกจากนี้เปปไทด์บางชนิดยังช่วยเสริมเกราะปกป้องดูแลผิวโดยการเพิ่มความแข็งแรงของชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวต้านทานการระคายและปลอบประโลมผิวได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผิวดูสุขภาพดี แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อใช้เป็นประจำ

 

เพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิว

เปปไทด์ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวโดยการกระตุ้นให้ผิวสร้างสารที่กักเก็บน้ำตามธรรมชาติ เช่น ไฮยาลูรอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการรักษาความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความสดชื่น รวมถึงยังช่วยเสริมการทำงานของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิว เพื่อให้ผิวคงความเนียนนุ่มและยืดหยุ่นได้ยาวนานขึ้น ส่งผลให้ผิวดูสุขภาพดีและอ่อนเยาว์มากขึ้นเมื่อใช้ควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง

 

วิธีใช้เปปไทด์ให้เห็นผล

เพื่อให้เปปไทด์ในสกินแคร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การใช้ผลิตภัณฑ์อย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้การเลือกใช้ร่วมกับส่วนผสมอื่นที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพยังช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น

 

1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเปปไทด์ที่เหมาะกับปัญหาผิว

เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเปปไทด์ชนิดที่เหมาะกับปัญหาผิว เช่น หากต้องดูแลเรื่องริ้วรอย ควรเลือกเปปไทด์ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนหรือยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ หากต้องการฟื้นบำรุงและเพิ่มความชุ่มชื้น ควรเลือกเปปไทด์ที่เสริมเกราะปกป้องผิวและกระตุ้นการสร้างไฮยาลูรอน นอกจากนี้ควรใช้เปปไทด์อย่างสม่ำเสมอ และควรบำรุงผิวควบคู่ในขั้นตอนอื่นๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น

 

2. ใช้เปปไทด์ในขั้นตอนเซรั่ม

ในขั้นตอนการลงสกินแคร์ที่ถูกต้อง ควรใช้เซรั่มเปปไทด์เนื้อบางเบาที่ซึมลึกหลังทำความสะอาดและเช็ดหน้าให้แห้ง เพื่อให้เปปไทด์ทำงานเต็มประสิทธิภาพ จากนั้นตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ช่วยล็อกความชุ่มชื้นและเสริมการบำรุงครบถ้วน

 

3. ใช้ต่อเนื่องอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์

ควรใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ เนื่องจากเปปไทด์ต้องใช้เวลาในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นบำรุงเซลล์ผิว การใช้เป็นประจำและสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวตอบสนองและปรับสภาพได้ดีขึ้น ส่งผลให้เห็นผลลัพธ์เรื่องความเรียบเนียน ความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นของผิวอย่างชัดเจนในระยะยาว

 

4. อย่าลืมทาครีมกันแดด

การใช้เปปไทด์ให้ได้ผลลัพท์ที่ดี ควรใช้ควบคู่กับการทากันแดดอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วัน เพราะแสงแดดเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำลายคอลลาเจนและทำให้ผิวเสื่อมสภาพ แม้เปปไทด์จะช่วยฟื้นบำรุงผิว แต่หากไม่ปกป้องผิวจากรังสียูวี จะทำให้ผลลัพธ์ช้าหรือไม่ชัดเจน ดังนั้นการทากันแดดทุกเช้าเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยรักษาคุณค่าของเปปไทด์และช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้นอย่างยาวนาน

 

5. หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับกรดแรงๆ

หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับกรดแรงๆ เช่น กรดวิตามินซี หรือกรดผลไม้ (AHA, BHA) เพราะกรดเหล่านี้อาจรบกวนการทำงานของเปปไทด์และลดประสิทธิภาพในการฟื้นบำรุงผิว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเปปไทด์แยกจากกรดแรงๆ หรือเว้นช่วงเวลาการใช้ให้ห่างกัน เพื่อให้เปปไทด์สามารถทำงานได้เต็มที่และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น

 

5 เคล็ดลับที่ควรรู้ ก่อนเลือกผลิตภัณฑ์เปปไทด์

ก่อนจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เปปไทด์ ควรรู้เคล็ดลับสำคัญเหล่านี้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและเหมาะกับสภาพผิว

1. ดูชื่อส่วนผสมในฉลากให้ละเอียด เพื่อตรวจสอบว่ามีเปปไทด์ชนิดใดบ้างและปริมาณเหมาะสมหรือไม่

2. เลือกเปปไทด์ที่ตรงกับปัญหาผิว เช่น ดูแลปัญหาริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น หรือฟื้นบำรุงผิว

3. เลือกผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีการรับรองคุณภาพและรีวิวที่ดี

4. พิจารณารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิว เช่น เซรั่ม ครีม หรือน้ำตบ

5. ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องและสังเกตผลลัพธ์ เพื่อปรับเปลี่ยนหากไม่เหมาะกับผิว

การเลือกผลิตภัณฑ์เปปไทด์ที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือ พร้อมใช้ในรูปแบบที่ถูกต้อง จะช่วยให้เปปไทด์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนกับผิวอย่างยาวนาน

 

สรุป

เปปไทด์คือสายกรดอะมิโนขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและฟื้นบำรุงตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ เปปไทด์แต่ละชนิดช่วยดูแลปัญหาผิวต่างกัน เช่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปลอบประโลมผิว และเพิ่มความชุ่มชื้น รวมถึงช่วยดูแลริ้วรอยและเสริมความแข็งแรงให้ผิว วิธีใช้ให้เห็นผลควรเลือกสูตรที่เหมาะกับปัญหาผิว ใช้ในขั้นตอนเซรั่มอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับกรดแรงๆ และต้องไม่ลืมทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดและคงผลลัพธ์ให้ยาวนานขึ้น

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเปปไทด์ (FAQ)

หลายคนยังมีคำถามคาใจเกี่ยวกับเปปไทด์ มาดูคำถามที่พบบ่อยและคำตอบที่คุณควรรู้กันดีกว่า!

 

เปปไทด์กับคอลลาเจนไดเปปไทด์ ต่างกันอย่างไร?

เปปไทด์คือสายกรดอะมิโนสั้นๆ ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายในผิว ส่วนคอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen Dipeptide) เป็นเปปไทด์ที่สกัดเฉพาะจากคอลลาเจน โดยมีกรดอะมิโน 2 ตัว คือไกลซีน (Glycine) และ โพรลีน (Proline) ทั้งสองชนิดช่วยเรื่องความยืดหยุ่นและลดริ้วรอย แต่ในรูปแบบต่างกัน

 

เปปไทด์ใช้ร่วมกับอะไรได้บ้าง?

สามารถใช้ร่วมกับกรดไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ได้ดี ใช้ร่วมกับวิตามิน C หรือไนอะซินาไมด์ก็ได้ เลี่ยงการใช้ร่วมกับกรดผลไม้แรงๆ (เช่น AHA, BHA) หากผิวระคายง่าย

 

ใช้เปปไทด์กี่วันถึงจะเห็นผล?

ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับสูตร ความเข้มข้น และสภาพผิวแต่ละคน โดยทั่วไปควรใช้ต่อเนื่อง 4–8 สัปดาห์จึงเริ่มเห็นผิวกระชับ เรียบเนียนขึ้น ควรใช้เป็นประจำวันละ 1–2 ครั้ง ไม่ควรหยุดใช้กลางคันเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน แนะนำให้ถ่ายรูปเปรียบเทียบทุก 2 สัปดาห์ เพื่อดูพัฒนาการของผิวได้ชัดเจน