เข้าใจผิวตนเอง
แพ้ไรฝุ่น (Dust Mite Allergy) มีอาการอย่างไร พร้อมวิธีดูแลผิวแพ้ง่ายให้แข็งแรง
อาการผิวแพ้จากการแพ้ไรฝุ่นเป็นอย่างไร มีสาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง พร้อมแนะนำวิธีดูแลผิวแพ้ง่ายให้แข็งแรงเพื่อป้องกันผิวแพ้จากไรฝุ่นรอบตัวที่เราอาจมองไม่เห็น
เข้าใจผิวตนเอง
อาการผิวแพ้จากการแพ้ไรฝุ่นเป็นอย่างไร มีสาเหตุเกิดจากอะไรได้บ้าง พร้อมแนะนำวิธีดูแลผิวแพ้ง่ายให้แข็งแรงเพื่อป้องกันผิวแพ้จากไรฝุ่นรอบตัวที่เราอาจมองไม่เห็น
อาการแพ้ฝุ่นหรือแพ้ไรฝุ่น (Dust Mite Allergy) เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองการแพ้ต่อแมลงตัวเล็ก ๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า โดยตัวไรฝุ่นมักอาศัยอยู่ภายในบ้านของเรา โมักจะอยู่ตามพวก หมอน ที่นอน ผ้าห่ม หรือพรม เป็นต้น ซึ่งไรฝุ่นเจ้าปัญหานี้ ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้สามารถก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ฝุ่นขึ้นในระบบทางเดินหายใจและผิวแพ้ฝุ่นได้ โดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่ายอาจทำให้เกิดการระคายผิวหนังได้ง่ายกว่าปกติ บทความนี้ Bioderma จะพาไปทำความรู้จักกับผิวแพ้ไรฝุ่นว่ามีอาการอย่างไร สาเหตุเกิดจากอะไร พร้อมวิธีป้องกันผิวแพ้ฝุ่นและวิธีดูแลผิวแพ้ง่ายให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
อาการภูมิแพ้ฝุ่นหรือแพ้ไรฝุ่น (Dust Mite Allergy) เป็นอาการที่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองอย่างผิดปกติเมื่อสัมผัสกับไรฝุ่น โดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่ายมักจะมีสภาวะที่ผิวไวต่อสิ่งรบกวนภายนอกมากกว่าผิวปกติ โดยตัวไรฝุ่น คือ แมลงที่มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและปะปนอยู่กับฝุ่นภายในบ้าน โดยสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ รวมถึงสัมผัสกับผิวหนัง ซึ่งหากใครที่มีอาการแพ้ไรฝุ่นจะมีอาการแสดงที่แตกต่างกันออกไป เช่น
นอกจากนี้ อาการแพ้ไรฝุ่นที่พบในคนที่เป็นโรคหืด (Asthma) มักจะมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย
อย่างไรก็ตาม อาการแพ้ฝุ่นมีความรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง หากพบว่ามีอาการดังกล่าวติดต่อกันนานกว่า 1 สัปดาห์ รวมทั้งเริ่มมีอาการรุนแรงขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป
สาเหตุของผื่นแพ้ฝุ่นเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำปฏิกิริยากับสิ่งแปลกปลอมนั่นก็คือ “ไรฝุ่น” ที่เจริญเติบโตได้ดีในสถานที่ที่มีอุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียสและความชื้น ประกอบกับสิ่งแวดล้อมดังกล่าวจะทำให้เชื้อราที่อยู่บนซผิวหนังของมนุษย์และสัตว์เลี้ยง หลุดลอกออกมาเป็นอาหารของไรฝุ่น จึงทำให้ไรฝุ่นเจริญเติบโตได้ดีตามไปด้วย สาเหตุเหล่านี้จึงสามารถก่อให้เกิดผิวแพ้ไรฝุ่นขึ้นได้ โดยระบบภูมิคุ้มกันจะผลิตโปรตีนที่เรียกว่า แอนติบอดี (Anti body) ออกมา เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย
หากผิวหนังของเราสัมผัสหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีไรฝุ่นเป็นเวลานานติดต่อกัน อาจทำให้เกิดการแพ้ไรฝุ่น ไม่ว่าจะเป็น ผิวแพ้ฝุ่น เป็นผื่นแพ้หรือผิวแพ้ง่ายเมื่ออยู่ในบริเวณที่มีไรฝุ่น ยิ่งไปกว่านั้นการอักเสบเรื้อรังยังอาจนำไปสู่อาการหอบหืดได้ นอกจากนี้ ผิวแพ้จากการเป็นโรคภูมิแพ้ก็สามารถเป็นสาเหตุหนึ่งของผื่นแพ้ไรฝุ่นได้ด้วยเช่นกัน ซึ่ง ผิวแพ้มีสาเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม สารก่อภูมิในอากาศ ผิวแพ้สารเคมี ผิวแพ้ง่าย หรือผิวแห้ง เป็นต้น

1. ประวัติคนในครอบครัวเป็นภูมิแพ้
อาการผิวแพ้ไรฝุ่นอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ได้ ดังนั้นผู้ที่ครอบครัวมีประวัติโรคภูมิแพ้ หอบหืด ผื่นผิวหนังหรือลมพิษ โรคจมูกอักเสบ ก็มีโอกาสที่จะแพ้ไรฝุ่นมากกว่าคนปกติทั่วไป
2. อยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเป็นเวลานาน
ไรฝุ่นในบ้าน หรือฝุ่นจากสัตว์เลี้ยง รวมถึงละอองเกสรของดอกไม้และวัชพืชต่าง ๆ เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยที่สุด โดยไรฝุ่นเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้หลากหลายทาง เช่น การหายใจ การสัมผัส หากเราอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นหนาแน่นก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดอาการแพ้ฝุ่นและผิวแพ้ฝุ่นได้
3. อยู่ในช่วงวัยเด็กหรือวัยผู้ใหญ่
ภูมิแพ้ฝุ่นหรือผิวแพ้ไรฝุ่น สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย มักพบมากในวัยผู้ใหญ่เฉลี่ยร้อยละ 20 และเด็กเฉลี่ยร้อยละประมาณ 40 โดยอาจเกิดขึ้นเมื่อเวลาอากาศเปลี่ยนแปลง จะทำให้ปราการผิวอ่อนแอ ผิวแพ้ง่าย ระคาย จึงควรทาครีมบำรุงผิวเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและไม่ไวต่ออาการแพ้
4. ภาวะแทรกซ้อนโรคภูมิแพ้ฝุ่น
โรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis) เมื่อเป็นภูมิแพ้ไรฝุ่นจะทำให้เยื่อบุภายในช่องจมูกเกิดการบวม ส่งผลให้โพรงไซนัสที่ติดกับจมูกตีบตัน เกิดน้ำมูกคั่งภายในโพรงจมูกซึ่งเชื้อโรคสามารถเจริญเติบโตได้ดี จนเยื่อบุอักเสบและเป็นหนอง โดยจะมีอาการปวดหน่วง ๆ ตามบริเวณหน้าผาก หัวตา โหนกแก้ม เป็นต้น หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจทำให้การอักเสบกระจายไปสู่สมอง ส่งผลให้รักษายากขึ้นได้
5. โรคหอบหืด (Asthma)
เนื่องจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นและไรฝุ่น สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืดได้ เพราะไรฝุ่นจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของหลอดลม ทำให้เยื่อบุและผนังหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจากภายในและจากสิ่งแวดล้อมมากกว่าปกติ ส่งผลให้หายใจไม่สะดวกและมีเสียงหวีด ไอเรื้อรัง เหนื่อยหอบ แพ้ฝุ่นหายใจไม่ออก เป็นต้น
หากพบว่าผิวหนังเริ่มเกิดอาการผิวแพ้ไรฝุ่น เช่น เป็นผื่นแพ้ขึ้นตามผิวหนัง รู้สึกระคายผิว หรือมีอาการอื่น ๆ ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นร่วมด้วย ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา และวินิจฉัยอาการทันที โดยวิธีรักษาผิวแพ้ฝุ่นหรือผิวแพ้ไรฝุ่น มีดังนี้
1. ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผิวแพ้
เช่น หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีไรฝุ่นเยอะ ๆ เพื่อลดการถูกกระตุ้นอาการผิวแพ้ฝุ่น ผื่นและอาการระคายผิวจากการแพ้
2. รักษาโดยการใช้ยา
3. การใช้ภูมิคุ้มกันบรรเทาอาการแพ้ไรฝุ่น
ปัจจุบันมีการนำเอาภูมิคุ้มกันมาใช้บรรเทาอาการแพ้ฝุ่น ซึ่งมีทั้งแบบฉีดและเม็ดอมใต้ลิ้น ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้มีความง่าย และสามารถนำไปใช้ได้เองที่บ้าน
ทั้งนี้ ก่อนการใช้ยาชนิดใดกับร่างกายไม่ว่าจะเป็นยาทาหรือยารับประทาน ควรอยู่ภายใต้การดูแลหรือคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

แหล่งสะสมชั้นดีของฝุ่นหรือไรฝุ่นคือเครื่องนอน และข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านของเรานั่นเอง โดยเราสามารถป้องกันอาการแพ้ฝุ่นหรือลดความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวแพ้ไรฝุ่นได้ ดังนี้
ควรหมั่นซักผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บนเตียงอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนประมาณ 60 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลา 30 นาทีเพื่อฆ่าไรฝุ่น และควรใช้ผ้าคลุมเตียงกันไรฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้บนเตียงนอนด้วย นอกจากนี้หากหมั่นทำความสะอาดเครื่องนอนยังสามารถป้องกันผิวแพ้ฝุ่นหรือผื่นขึ้นหน้าได้อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นพรม โซฟา ผ้าม่าน ตุ๊กตา สิ่งของเครื่องใช้ ควรเช็ดทำความสะอาดให้บ่อยที่สุดเพื่อลดการเกาะของไรฝุ่นตามสิ่งของต่าง ๆ ควรถูพื้นและใช้เครื่องดูดฝุ่นเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของฝุ่น และควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกันไรฝุ่นทุกครั้ง หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการใช้พรมภายในบ้าน นอกจากนี้ยังมีวิธีป้องกันการแพ้ฝุ่นอื่น ๆ เช่น
- ใช้เครื่องกรองอากาศหรือเครื่องฟอกอากาศ ชนิด HEPA Filter เพื่อให้ความชื้นสัมพัทธ์อยู่ระหว่าง 30-50%
- หากมีสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน ควรอาบน้ำสัตว์เลี้ยงบ่อย ๆ เพื่อลดจำนวนสารก่อภูมิแพ้ที่ติดอยู่บนขนสัตว์
- ไม่ควรใช้น้ำยาซักผ้าที่ก่อให้เกิดการระคายผิวหนัง เพราะอาจทำให้เกิดผื่นแพ้เสื้อผ้าหรือผื่นจากการที่ผิวแพ้สารเคมีได้
- กำจัดสิ่งของเน่าเสียหรืออาหารหมดอายุภายใต้ตู้เย็น เพื่อลดการเติบโตของเชื้อรา
การทาครีมบำรุงผิวถือเป็นการดูแลผิวของตนเองให้ไม่ไวต่อสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ซึ่งคนที่มีผิวแพ้ง่ายมักจะรู้สึกระคายผิวเป็นประจำเมื่อต้องสัมผัสกับมลภาวะ ฝุ่นควัน หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น ดังนั้นคนที่มีผิวแพ้ง่ายและเสี่ยงต่อการเกิดผิวแพ้ฝุ่นจึงควรทาครีมบำรุงผิวเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว พร้อมเสริมเกราะป้องกันผิวชั้นนอกให้มีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้นด้วยการทาครีมบำรุงผิวที่มีความอ่อนโยน โดยอาจมีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เตตระเปปไทด์-10 วิตามินอี เป็นต้น
อาการแพ้ฝุ่นผิวหนังหรือแพ้ไรฝุ่น จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงคันตามข้อพับแขน ขา คอ รักแร้ ขาหนีบ เป็นต้น หรือมีตุ่มนูนบริเวณรูขุมขนส่วนแขน ขา โดยผื่นไรฝุ่นสามารถรักษาและบรรเทาอาการได้ หากใครมีความกังวลใจสามารถเข้าปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการรักษาได้ หากปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำแล้ว ผิวหนังที่อักเสบและอาการแพ้ฝุ่นก็จะค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง
สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย เสี่ยงต่อผิวแพ้ฝุ่นและมักรู้สึกระคายผิว สามารถเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่ายอย่าง Bioderma Sensibio Defensive ที่มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่ายจากมลภาวะและสิ่งกระตุ้นต่างๆ พร้อมเสริมปราการผิวให้แข็งแรงด้วยเตตระเปปไทด์-10 ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเสริมปราการผิวแข็งแรงมากขึ้นถึง 46% หลังการใช้งานติดต่อกันเป็นเวลา 28 วัน* และช่วยปกป้องผิวจากสิ่งกระตุ้นภายนอกได้ด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์อย่างคาร์โนซีนและวิตามินอี ที่สามารถปกป้องผิวที่เสียหายจากแสงแดด มลภาวะ และสารเคมีได้สูงถึง 75%** นอกจากนี้ยังช่วยปลอบประโลมผิวแพ้ง่ายให้เกิดความผ่อนคลาย ผิวสบายได้ด้วยเรดเสจโพลีฟีนอล ลดปัญหาผิวระคายที่สาเหตุ รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มน้ำยาวนาน 12 ชั่วโมง
* Clinical study,biomarker analysis on 10 subject,for 28 days
** in vitro test on Defensive Technology
ผิวแพ้ที่เกิดจากการแพ้ไรฝุ่น นอกจากจะก่อให้เกิดการระคายผิว ผิวแพ้ง่าย ตลอดจนผิวแพ้ฝุ่นจนผื่นขึ้นแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้อื่น ๆ ตามมาด้วย ดังนั้นคนที่มีผิวแพ้ง่ายหรือแพ้ไรฝุ่นควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง หรือหากใครที่ผิวแพ้ง่ายอยู่แล้วและเสี่ยงต่อการเกิดผิวแพ้ฝุ่นควรหมั่นทาครีมบำรุงผิวให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ เพื่อเป็นด่านแรกในการป้องกันผิวแพ้ที่เกิดจากการสัมผัสไรฝุ่นและมลภาวะรอบตัว รวมถึงทำให้ผิวไม่ไวต่อสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้อีกด้วย