ฝ้าเป็นหนึ่งในปัญหาผิวน่าหนักใจเนื่องจากรักษาได้ยาก มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือดำบนผิว อาจส่งผลให้ผิวดูไม่เรียบเนียน ไม่กระจ่างใส ก่อเกิดเป็นความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองได้
ปัญหาเรื่องฝ้าอาจรักษาได้ในระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน การปกป้องผิวจากปัจจัยที่ก่อให้ผิวเป็นฝ้าจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อเป็นการดูแลและป้องกันปัญหาผิวในอนาคต

ฝ้า (Melasma) คือ

ฝ้ากระจุดด่างดำ อาจเป็นปัญหาผิวที่ไม่ใช่โรคร้ายแรง ไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ แต่สามารถส่งผลกระทบในด้านบุคลิกภาพและความมั่นใจได้
เนื่องจากฝ้า (Melasma) คือ ปื้นบนผิวบริเวณหนึ่ง อาจมีความเข้มตั้งแต่สีน้ำตาลไปจนถึงสีดำ ทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวไม่เรียบเนียน ไม่กระจ่างใส ถึงแม้ว่าสามารถใช้เครื่องสำอางช่วยในการทำให้สีผิวมีความสม่ำเสมอได้แต่เครื่องสำอางอาจหลุดลอกหรือสีดรอปลงระหว่างวัน ทำให้เห็นฝ้าได้อยู่ดี
นอกจากนี้หากเราไม่ดูแลผิวให้แข็งแรง หรือทาครีมกันแดดป้องกันผิว ก็จะทำให้ฝ้ากระจุดด่างดำมีปริมาณมากขึ้น ยิ่งทำให้ผู้เผชิญกับปัญหาฝ้ายิ่งเสียความมั่นใจเพิ่มขึ้นไปอีก

นอกจากอาการฝ้าขึ้นหน้าแล้ว ฝ้ายังเกิดในบริเวณอื่นทั่วใบหน้าได้อีก ทั้งฝ้าที่จมูก ฝ้า หนวด ฝ้าตรงโหนกแก้มแล้ว อาการของจุดด่างดำที่เกิดบนผิวมีอีกแบบ เรียกว่า “กระ” ฝ้า กระมีความคล้ายคลึงกัน แต่ลักษณะของจุดด่างดำของฝ้าและกระมีความแตกต่างกันในหลายจุด

หากเรารู้ถึงลักษณะของ ฝ้ากระจุดด่างดำ แต่ละแบบจะทำให้เรารู้ถึงต้นตอของปัญหาผิว และเราจะสามารถรู้ถึงวิธีรักษาป้องกันฝ้าได้อย่างถูกจุด

ฝ้า (Melasma) เป็นปื้นสีเข้มกว่าสีผิว มีหลายเฉดความเข้มตั้งแต่สีออกน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม ฝ้านั้นมีหลายขนาดตั้งแต่ฝ้าขนาดเล็กไปจนถึงฝ้าขนาดใหญ่ได้ หากไม่หาวิธีป้องกันและหยุดยั้งปัญหาฝ้า เพราะฝ้าจะค่อย ๆ ขยายเป็นขนาดปื้นมากขึ้น จนฝังลึกลงไปในชั้นผิวมากขึ้น ทำให้ลามเป็นเป็นปัญหาใหญ่โต หน้าเป็นฝ้าหนักมากจนกินพื้นที่เต็มใบหน้าได้

ฝ้า

กระ (Freckle) จะมีลักษณะเป็นจุดด่างดำ หรือรอยด่างดำ มักมีทรงกลมสีน้ำตาล ขนาดเล็ก มีขอบที่ชัดเจนไม่เป็นปื้น เกิดได้ทั้งบนใบหน้าและร่างกายส่วนอื่นๆ เช่น คอ แขน

รักษาฝ้า

ทั้งฝ้าและกระเกิดจากการทำงานของเม็ดสีที่ผิดปกติ เกิดได้จากหลายปัจจัยอย่างฮอร์โมนภายในร่างกายหรือการรับประทานยาบางชนิด อาการแพ้สะสมจากส่วนผสมของเครื่องสำอางบางประเภท แต่ปัจจัยที่พบเจอได้ง่ายและส่งผลกระทบค่อนข้างมากคือรังสียูวีเอ และยูวีบี (UVA, UVB) จาก แสงแดดที่ทำร้ายผิว ปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นการทำงานเซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเกิดฝ้าและกระได้

ฝ้า เกิดจากหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้

ในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ที่สามารถให้วิตามินดีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ แต่ในขณะเดียวกันแสงแดดที่แรงและมีความเข้มข้นก็มีรังสียูวี (UV: Ultraviolet) ที่สามารถทำร้ายผิวหนังได้ อาจทำให้มีลักษณะของ ผิวไหม้แดด หรือ หน้าหมองคล้ำ ด้วยการกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีในชั้นผิวหนัง เร่งให้เกิดเป็นฝ้า และในระยะยาวหากไม่ป้องกันแสงแดดจากการทำร้ายผิวแล้วเซลล์ผิวหนังอาจถูกทำร้ายจนพัฒนาเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งได้

ความไม่สมดุลของฮอร์โมนสำหรับผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือผู้ที่เข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือนสามารถส่งผลให้การสร้างเม็ดสีของร่างกายมีความผิดปกติได้จนนำไปสู่ปัญหาฝ้า และฮอร์โมน ซึ่งบางรายอาจมีปัญหาสิวอีกด้วย หรือที่เรียกกันว่า "สิวฮอร์โมน"

การผลิตเม็ดสีที่มากเกินไปสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้วทำให้หน้าเป็นฝ้าได้ นอกจากพันธุกรรมแล้วยังพบว่าฝ้าเริ่มเกิดในกลุ่มคนที่มีอายุ 30-40 ปี และพบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชายอีกด้วย

ยาบางชนิดสามารถส่งผลกระทบต่อร่างกายและทำให้เกิดฝ้าได้ เช่น ยาคุมกำเนิดซึ่งส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกายอันเป็นปัจจัยหนึ่งในการกระตุ้นให้มีการผลิตเม็ดสี หรือยากันชักบางตัวซึ่งพบว่าผู้ที่ใช้ยาชนิดดังกล่าวมักมีฝ้าเกิดที่กรอบหน้า

โรคประจำตัวหรืออาการป่วยบางชนิดที่ส่งผลต่อฮอร์โมน รวมไปถึงการใช้ยาที่ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมน เช่นโรคที่เกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อต่างๆ

หลังจากที่ทราบแล้วว่าฝ้าเกิดจากสาเหตุใดบ้างแล้ว เรามาดูกันว่าฝ้ามีกี่ชนิด แล้วฝ้าแต่ละชนิดมีอะไรบ้าง มีลักษณะแบบใด

ฝ้าแดด ฝ้าแดง ที่เกิดจากแสงแดด เป็นผลจากรังสียูวีเอและยูวีบี เพราะรังสีอัลตราไวโอเลตเหล่านี้เป็นรังสีที่มีความเข้มข้นสูง เป็นรังสีที่มีคลื่นความยาวสูงทำให้ทำลายผิวได้ลึก กระตุ้นการผลิตเม็ดสีภายในผิวหนัง ทำให้ผิวหน้าคล้ำเสีย หน้าหมองคล้ำ และเกิดเป็นฝ้าแดดได้

แม้เราจะเลี่ยงไม่โดนแดดแล้ว รังสีดังกล่าวก็ยังพบได้ในแสงจากหน้าจออุปกรณ์อย่างคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน หลอดไฟต่างๆ ก็ยังสามารถกระตุ้นผิวหนังให้ผลิตเม็ดสีคล้ำเสียได้เช่นเดียวกับแสงแดด และการโดนหลังรังสีเหล่านี้บ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จะทำให้เม็ดสีผิวเข้มขึ้น ฝ้าเข้มขึ้นชัดกว่าเดิม ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการรักษามากกว่าเดิม

ฝ้าเลือดเป็นปื้นสีแดง เกิดจากระบบเลือดลมและฮอร์โมนในร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดปกติ หรืออาจจะเกิดจากการใช้ยาบางประเภทอย่างยาเกี่ยวกับฮอร์โมน หรือยาที่ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยทำงานผิดปกติ หากโดนความร้อนหรือแสงแดดฝ้าเลือดอาจจจะมีสีแดงมากกว่าเดิม

ฝ้าแบบตื้นจะมีลักษณะสีน้ำตาลเข้ม เห็นขอบได้ชัด เป็นชนิดฝ้าที่เกิดได้ง่าย และรักษาให้จางลงได้ง่าย เพราะฝ้าตื้นเกิดในระดับชั้นผิวหนังกำพร้า หรือผิวหนังชั้นนอก ถึงแม้ฝ้าชนิดนี้จะรักษาได้ง่าย แต่การลดฝ้า กระ จุดด่างดําตามธรรมชาตินั้นทำได้ยากมาก ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องรักษาให้มีสีจางลงด้วยยาทาฝ้าอยู่ดี และเพิ่มการป้องกันการเกิดฝ้าด้วยครีมกันแดดเสริม

ฝ้าแบบลึกจะมีสีอ่อน อาจเป็นสีน้ำตาล เทา หรือม่วงก็ได้ เห็นขอบไม่ชัดเจนมากนักเนื่องจากอยู่ในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไปทำให้มีความจางมากกว่า เป็นฝ้าที่รักษาให้หายได้ยาก เพราะเกิดในชั้นผิวที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า จนเกิดความผิดปกติในระดับผิวหนังแท้

บางคนก็อาจจะเป็นฝ้าเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่บางคนอาจจะเป็นฝ้าผสมหลายแบบ ซึ่งจะเป็นการผสมของฝ้าทั้งสองแบบ ลักษณะจะเป็นสีเข้ม แต่ขอบจาง ต้องรักษาด้วยวิธีหลายแบบรวมกันทั้งฝ้าลึก และฝ้าตื้น

บริเวณใดที่พบฝ้าได้บ่อย

บริเวณผิวที่มักเป็นฝ้าส่วนมากจะอยู่ที่ผิวหน้า เนื่องจากเป็นจุดที่โดนแสงแดดค่อนข้างบ่อยเลยทำให้หน้าเป็นฝ้า  โดยเฉพาะบริเวณ

  • ฝ้าหน้าผาก
  • ฝ้าที่จมูก
  • ฝ้าตรงโหนกแก้ม
  • ฝ้าเหนือริมฝีปาก ฝ้าหนวด

แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่บริเวณใบหน้าเท่านั้น แต่บริเวณใดในร่างกายที่โดนแดดก็สามารถเกิดฝ้าขึ้นได้ ทั้งตามลำตัว ไม่ว่าจะบริเวณแขน หรือบริเวณอื่น ๆ ที่ผิวโดนแสงแดดกระทบค่อนข้างบ่อยด้วย

รักษาฝ้า ให้ได้ผลดีที่สุด

การรักษาฝ้า สามารถทำได้โดยการรักษาฝ้าด้วยตัวเอง หรือการรับการรักษาฝ้ากับผู้เชี่ยวชาญ โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน หากต้องการรักษาฝ้าเร่งด่วนก็มีวิธีอย่าง เลเซอร์ฝ้า แต่ทั้งนี้วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละบุคคลด้วย

 

การใช้ยาทารักษาฝ้า

ยาทารักษาฝ้ามีหลายกลุ่ม ส่วนมากจะใช้รักษาฝ้าได้โดยเห็นผลตั้งแต่การใช้ 1-2 เดือนขึ้นไปและเห็นผลได้ชัดเจนหลังการใช้ 6 เดือนขึ้นไป มักใช้ได้กับฝ้าตื้นมากกว่า ถ้าเป็นฝ้าลึกการใช้ยาทารักษาฝ้าอย่างเดียวอาจเห็นผลค่อนข้างน้อย
ยาทารักษาฝ้าแบ่งออกเป็น ยาที่ลดการสร้างเม็ดสี ยาที่ทำลายการสร้างเม็ดสี ยาที่ลดและทำลายการสร้างเม็ดสี ยาที่เร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ยาผสมสารสเตียรอยด์ ซึ่งตัวยาแต่ละประเภทจะมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันเช่น อาการระคายเคือง แสบร้อนบริเวณผิวที่ทายา อาจมีการบวม แดง หรือผิวลอกเป็นขุย ดังนั้นยาสำหรับรักษาฝ้าควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

 

เลือกใช้ครีมบำรุงที่มีสารช่วยรักษาฝ้า

นอกจากการใช้ยาเพื่อรักษาแล้ว อีกตัวเลือกหนึ่งคือเซรั่มรักษาฝ้า หรือ ครีมบำรุงผิวหน้า ที่มีสารไวท์เทนนิ่งอย่างวิตามินซี อาร์บูติน สารสกัดจากถั่วเหลือง แนวโน้มการเกิดการระคายเคืองผิวค่อนข้างต่ำ เห็นผลช้ากว่ายาสำหรับรักษาฝ้าโดยเฉพาะแต่ช่วยดูแลผิวเป็นฝ้าได้ในระยะยาว และยังเป็นการบำรุงผิวไปในตัวอีกด้วย

 

เลเซอร์รักษาฝ้า กระลึก

การใช้เลเซอร์ฝ้า เลเซอร์กระลึก เพื่อรักษาฝ้า กระจะมีความแม่นยำและตรงจุด จึงเป็นที่นิยมได้ปัจจุบันในการรักษาเสริมควบคู่กับการรักษาหลัก เนื่องจากวิธีเลเซอร์เป็นการทำลายเม็ดสี ช่วยแก้ไขปัญหาได้ที่ปลายเหตุ แต่ผิวก็ยังมีการสร้างเม็ดสีอยู่เรื่อยๆ

วิธีนี้อาจมีข้อดีที่ตรงจุด แต่การใช้แสงและเลเซอร์ทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวมีความไวต่อแสง ห้ามโดนแดดหลังการรักษา อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ ไปจนถึงความเสี่ยงในการเกิดฝ้าใหม่ที่เป็นได้ง่ายกว่าเดิม มีสีที่เข้มกว่าเดิม รวมไปถึงการเกิดแผลจากการทำเลเซอร์ด้วย

 

การลอกผิวเพื่อรักษาฝ้า (Peeling Agent)

การลอกผิวเพื่อรักษาฝ้าคือการใช้สารเคมีลอกผิวเพื่อกำจัดเม็ดสีในชั้นผิวออกไป เป็นวิธีการรักษาที่ต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเนื่องจากการลอกชั้นผิวที่ลึกเกินไปอาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวรได้ และผิวห้ามโดนแสงแดดหลังการรักษาเพราะผิวจะมีความไวต่อแสง อาจเสี่ยงต่อการเกิดฝ้าที่เข้มขึ้นและมากขึ้นด้วย

1. หลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝ้าคือแสงแดด ซึ่งนอกจากผลกระทบในรูปของฝ้า กระ จุดด่างดำ แสงแดดยังส่งผลให้ผิวแก่กว่าวัย เกิดริ้วรอยได้ง่าย ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานานสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดฝ้าได้

2. หลีกเลี่ยงตัวยาที่ส่งผลต่อการเกิดฝ้า

หากเป็นผู้ที่มีปัญหาผิวเรื่องฝ้าอยู่แล้ว ควรมีการปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาบางประเภทเนื่องจากตัวยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนและทำให้เกิดฝ้ามากขึ้น หรือเข้มกว่าเดิมได้

3. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน นอกจากจะเป็นการช่วยป้องกันแสงแดดแล้ว ครีมกันแดดบางตัวยังมีส่วนช่วยในการลดการเกิดฝ้าไ้อีกด้วย แนะนำของ Bioderma เป็นครีมกันแดดช่วยป้องกันไม่ให้เม็ดสีเมลานินเช้มขึ้น ดังนั้นจะทำให้ไม่เป็นฝ้ามากขึ้น การทาครีมกันแดดสามารถช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดดได้ โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ค่า PA ที่ได้มาตรฐาน สามารถป้องกันรังสียูวีเอและยูวีบีได้

ป้องกันฝ้า
  • Photoderm Aquafluide
    ครีมกันแดด Bioderma Photoderm Aquafluide SPF50+ เป็นครีมกันแดดสูตรน้ำนม ปราศจากน้ำหอม สำหรับ ผิวแพ้ง่าย ปกป้องผิวจากแสงแดดในระดับสูงได้ด้วยคุณสมบัติ SPF 50+ UVA 24/PA++++ มีเนื้อบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทำให้ผิวหน้ามันวาว เหมาะแก่การใช้ระหว่างวันแม้ในวันที่มีอากาศร้อน หรือในผิวที่มีผิวมันก็สามารถใช้ได้

ครีมกันแดด ป้องกันการเกิดฝ้า

  • Photoderm Cover Touch
    ครีมกันแดด Bioderma Photoderm Cover Touch SPF50+ เป็นครีมกันแดดสีเนื้อ สูตร 100% มิเนอรัล ช่วยปรับผิวให้เนียนแมตต์ ปกปิดรอยสิว ปรับสีผิวให้เนียน มีความสม่ำเสมอ และปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยคุณสมบัติ SPF 50+ ด้วยเทคโนโลยี Sun Active Defense ช่วยจัดการปัญหาจุดด่างดำและริ้วรอยก่อนวัยที่เกิดจาดแสงแดด เหมาะสำหรับวันที่ต้องเจอแดดและต้องการการปกปิดมากเป็นพิเศษ

ครีมกันแดด ลดการเกิดฝ้า

4.ดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

อย่างไรก็ตาม การทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงการออกแดดจัด และการบำรุงและถนอมผิวเพื่อผิวที่แข็งแรง เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำให้ติดเป็นนิสัยเพื่อดูแลรักษาผิวในระยะยาว ปกป้องผิวจากการเกิดฝ้ากระจุดด่างดำได้ รวมไปถึงการใส่หมวก ใส่แว่นกันแดด หรือใส่เสื้อผ้าที่ปกป้องผิวจากการสัมผัสแสงแดดได้ด้วย

หลักการเลือกครีมกันแดดที่ช่วยป้องกันการเกิดฝ้า

การเลือกครีมกันแดดที่มีมาตรฐานและสามารถปกป้องผิวจากแสงแดดและการเกิดฝ้าได้ สามารถดูได้จาก

  1. เลือกยี่ห้อครีมกันแดดที่มีมาตรฐาน มี อย. รับรอง
  2. เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 หรือทางที่ดีคือมากกว่า 50 และกัน UVA ได้โดยดูจาก PA ตั้งแต่ 3 ขึ้นไป หรือมีวงกลมล้อมรอบ
  3. เลือกครีมกันแดดที่เข้ากับผิว ทาแล้วสีพอดีกับผิว ไม่ทำให้หน้าขาวหรือลอย เนื่องจากปริมาณครีมกันแดดที่เหมาะสมและได้มาตรฐานเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้ครีมกันแดดคือ 1 กรัมต่อการทาทั่วใบหน้าหนึ่งครั้ง การเลือกครีมที่สามารถทาในปริมาณดังกล่าวได้จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ

การทาครีมกันแดดควรทาก่อนผิวได้รับแสงแดดประมาณ 30 นาทีในปริมาณ 1 กรัมต่อทั่วไปหน้า หรือประมาณ 2 ข้อนิ้ว โดยเกลี่ยครีมทั่วผิวหน้าให้มีความเสมอกันและสามารถใช้นิ้วกดลงทั่วใบหน้าเบาๆ เผื่อช่วยผลักครีมกันแดดให้ซึมเข้าผิวและป้องกันแสงแดดและรังสียูวีได้อย่างทั่วถึง

หากเป็นวันที่อยู่กลางแจ้งหรือสถานที่ที่มีแสงแดดมาก เช่น ทะเล สามารถทาครีมกันแดดอีกครั้งได้เมื่อผ่านไป 2 ชั่วโมง โดยล้างหน้าก่อนและทาครีมกันแดดอีกครั้ง หรือทาซ้ำหากไม่สามารถล้างหน้าก่อนได้

รักษาฝ้า ลดฝ้า

มีคำถามมากมายเกี่ยวกับฝ้าว่าฝ้ารักษาหายไหม แล้วต้องใช้อะไรถึงจะรักษาฝ้าหาย หากไม่อยากใช้ยารักษาฝ้า แต่อยากใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติแทน จะช่วยลดปัญหาฝ้าลงไปได้จริงหรือไม่ ซึ่งมีทั้งความจริงและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาฝ้าหลายอย่าง

ว่านหางจระเข้มีสาร Aloctin A และ Aloctin B มีสรรพคุณในการช่วยต้านการอักเสบของผิวหนัง และช่วยฟื้นฟูผิวจากแสงแดด และฟื้นฟูรอยสิวให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ด้วยเนื้อวุ้นของว่านห่างจระเข้เป็นส่วนดีที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้อย่างดี

แต่ฝ้านั้นมีการสร้างเม็ดสีอยู่ในชั้นผิวที่ลึกมากกว่า ผิวไหม้แดดทั่วไป ทำให้คำถามที่ว่าว่านหางจระเข้รักษาฝ้าได้ไหม คำตอบก็คือว่านห่างจะเข้อาจจะไม่สามารถทำให้ฝ้าสีเข้มหายไปได้

ในหัวหอมจะมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ ที่มีส่วนช่วยในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ลดสิว และยังมีส่วนช่วยลดรอยฝ้า กระ ได้อย่างดี แต่ทั้งนี้ในบางคนก็อาจจะทำให้ผู้ใช้บางคนเกิดการระคายเคืองได้ คงจะดีมากกว่าถ้าเรารับการดูแลรักษาจากแพทย์โดยตรงดีกว่าการใช้หอมแดงรักษาฝ้าด้วยตนเอง

รักษาฝ้าด้วยมะขามเปียกเป็นคำถามที่พบบ่อย ๆ เพราะมะขามเปียกมีฤทธิเป็นกรดช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ปราศจากฝ้า กระ จุดด่างดำ แต่อย่างที่ทราบดีว่าความเป็นกรดของมะขามเปียกอาจทำให้ผู้มีผิวบอบบางอาจจะเกิดระคายเคืองได้

การใช้ปูนแดงรักษาฝ้านั้นอาจไม่ตรงจุด เพราะปูนแดงมีสรรพคุณในการลดอาการอักเสบ ปวด แผลหนอง ดังนั้นหากใช้วิธีอื่นในการรักษาฝ้าอาจจะตรงจุดมากกว่า

ข้อสรุป

ปัญหาผิวเป็นฝ้า คือหนึ่งในปัญหาผิวที่น่าหนักใจและพบได้ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบุคคลกลุ่มที่มีอายุมากกว่า 40 ปี มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และการรักษาฝ้าสามารถทำได้โดยใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนานและการดูแลรักษาที่สม่ำเสมอ

ดังนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าการรักษาฝ้าคือการดูแลและปกป้องผิว เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาเรื่องฝ้าและจุดด่างดำ สามารถทำได้โดยใช้ครีมกันแดดประกอบกับการหลีกเลี่ยงแสงแดด ป้องกันผิวจากรังสียูวี เพื่อชะลอการเกิดปัญหาฝ้านั่นเอง

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม

ปกป้องผิวจากแสงแดด

ผิวแพ้ง่ายที่ต้องเผชิญกับแสงแดด

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm)

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม

คุณกำลังมองหาครีมกันแดดประสิทธิภาพสูงสำหรับผิวของคุณอยู่หรือเปล่า

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโฟโตเดิร์ม (Photoderm) คือผลิตภัณฑ์กันแดดครบวงจรสำหรับทุกสภาพผิวรวมถึงผิวที่มีความไวต่อแสงแดด  โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างแสงแดดหรือสารเคมีผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดสำหรับผิวมันถึงผิวเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ