Key Takeaway

  • สิวอักเสบเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ที่ทำให้เกิดการอักเสบ ร่วมกับปัจจัยเสริมเช่น ฮอร์โมน พันธุกรรม และไลฟ์สไตล์
  • สิวอักเสบมี 5 ชนิดหลัก ได้แก่ สิวตุ่มนูนแดง สิวหัวหนอง สิวอักเสบแดงเป็นก้อน สิวซีสต์ และสิวหัวช้าง โดยแต่ละชนิดมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน
  • วิธีรักษาสิวอักเสบมีทั้งการใช้ยาทา ยารับประทาน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การฉายแสง การใช้ความเย็น และการฉีดยา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว
  • การดูแลผิวให้ห่างไกลจากสิวอักเสบคือ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้า ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม ทาครีมกันแดด พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

 


 

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) ตุ่มนูน บวมแดง เป็นสิวที่เห็นได้ชัดบใบหน้า ทำให้คนที่เผชิญกับปัญหาสิวอักเสบดังกล่าวรู้สึกเสียความมั่นใจไปได้ และแม้จะรักษาสิวอักเสบไปแล้ว แต่กลับยังทิ้งปัญหารอยสิวไว้เป็นร่องรอยบนผิวหน้าให้หนักใจได้อีกด้วย

ดังนั้นเพื่อดูแลสิว ลดโอกาสเกิดปัญหาสิวอักเสบนี้ไปตั้งแต่ต้นตอ Bioderma จึงขนเคล็ดลับการวิธีลดโอกาสการเกิดาสิวอักเสบมาอย่างเต็มพิกัด เท่านั้นไม่พอยังจะมาบอกทุกสาเหตุสิวอักเสบเกิดจากอะไร และทุกเรื่องเกี่ยวกับสิวอักเสบ เพื่อจะตอบทุกปัญหาข้อข้องใจเกี่ยวกับสิวอักเสบ ให้คุณคลายกังวลเรื่องปัญหาสิวอักเสบ ให้ผิวห่างไกลสิวได้อย่างสบายใจ

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คือ หนึ่งในปัญหาผิวที่จะเกิดตุ่มสิวที่นูนขึ้นมา สิวอักเสบมีลักษณะเป็นตุ่มแดงเป็นก้อน สิวอักเสบมักจะเกิดจากสิวชนิดอื่นๆ ทั่วๆ ไป ที่ได้รับปัจจัยกระตุ้นซ้ำๆ ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดการระคายผิว จนความรุนแรงของสิวมีระดับมากขึ้น ผิวในส่วนนี้จึงมีการอักเสบขึ้น ทำให้เมื่อสัมผัสโดนอาจจะรู้สึกเจ็บปวดได้

สิวอักเสบนั้นสามารถพบได้หลายลักษณะ อาจจะเป็นชนิดที่เป็นสิวอักเสบมีหัวสิว หรือสิวอักเสบไม่มีหัวสิวก็ได้ ซึ่งหากเป็นสิวอักเสบชนิดมีหัว จะมีลักษณะของหนองอยู่ใต้ผิวหนังนั่นเอง สิวอักเสบสามารถรักษาได้หลายวิธี แต่อาจจะเลี่ยงการกด แกะ แคะ เกา เพราะอาจจะทำให้สิวลุกลามแทน

 

สิวอักเสบเกิดจากสาเหตุใด

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) เกิดจากสิวหลากหลายชนิดอย่าง สิวอุดตัน (Comedones) ที่เกิดจากสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกิน (Sebum) รวมตัวกันเกิดเป็นสิว แต่ในเวลาต่อมา หากสิวชนิดนี้ยังไม่ยุบตัวแล้วเกิดการกระตุ้นจากสิ่งแปลกปลอม ที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิด C.acnes ปะปนอยู่ โดยภายใน C.acnes มีเอนไซม์ Lipase ย่อยไขมันจนเกิดเป็นกรดไขมัน (Free Fatty Acid) ออกมาสู่ภายนอกผิวหนัง และมีการหลั่ง Protease Cytrokines กระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้นนั่นเอง

 

โดยสาเหตุสิวอักเสบที่ทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียมากระตุ้นให้อักเสบ มีดังนี้

  • การหลั่งฮอร์โมนที่ไม่สมดุล เป็นส่วนกระตุ้นให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศชาย (Androgens)
  • พันธุกรรมกรรมพันธุ์ผิวแพ้ง่ายถูกส่งต่อมาภายในครอบครัวได้ ทำให้ง่ายต่อการกระตุ้นให้อักเสบ
  • ไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตเช่น การรับประทานอาหารทอด ไขมันสูง พักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด กระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบได้นั่นเอง
  • สภาพแวดล้อมฝุ่น ควัน มลพิษ เป็นส่วนกระตุ้นให้ผิวสกปรก และทำให้ระคายผิว
  • การสัมผัสใบหน้าการแคะ แกะ เกา กด บีบสิวอักเสบแบบไม่ถูกวิธี จะทำให้ผิวบริเวณนั้นได้รับบาดเจ็บ เกิดการอักเสบขึ้นมาได้
  • ยาบางประเภทอย่าง Anabolic Steroids Corticosteroids Corticotropin Phenytoin Lithium Isoniazid Vitamin B6 และ B12 อาจมีผลข้างเคียง ทำให้เกิดการระคายผิวได้

 

ระดับความรุนแรงของสิวอักเสบ

สิวอักเสบนั่นไม่เพียงแค่ลักษณะของสิวเท่านั้น แต่ระดับความรุนแรงของการอักเสบก็มีผลต่อการพิจารณาขั้นตอนการรักษาสิวอักเสบด้วยเช่นกัน โดยแบ่งระดับความรุนแรงของสิวอักเสบได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • สิวอักเสบระดับไม่รุนแรงมีปริมาณสิวเล็กน้อย และมีอาการอักเสบของสิวเพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น
  • สิวอักเสบระดับปานกลางในบริเวณรอบๆ มีสิวที่อักเสบรวมแล้ว ประมาณไม่เกิน 10 จุด อาจจะมีสิวหนองปะปนรวมด้วย
  • สิวอักเสบระดับรุนแรงสิวอักเสบที่สะสมไว้เป็นระยะเวลานานแล้ว เป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ มีเลือด และหนองปะปนอยู่ภายในตัวสิวมาก ทำให้มีการอักเสบระดับรุนแรง ทำให้อาจจะเกิดรอยช้ำร่วมด้วย

สิวอักเสบบวมแดงเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกันไปหลากหลายรูปแบบ ทำให้การรักษาสิวอักเสบชนิดต่างๆ นี้ก็มีขั้นตอนวิธีรักษาสิวอักเสบนี้แตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับลักษณะของสิวกันก่อน เพื่อที่จะได้หาวิธีรักษาสิวอักเสบที่เหมาะสมได้อย่างตรงจุด
 

สิวชนิดตุ่มนูนแดง (Papules)

เม็ดสิวขนาดเล็ก มีขนาดไม่ใหญ่เกิน 1 เซนติเมตร มีลักษณะเป็นตุ่มนูน สีแดง มักเกิดร่วมกับผื่นแพ้ พบได้ทั้งสิวอักเสบบวมแดงไม่มีหัว และชนิดมีหัว
 

สิวหัวหนอง (Pustules)

สิวหัวหนองสีเหลือง หรือสีขาว คือ สิวตุ่มนูนที่มีของเหลวหนองบรรจุอยู่ภายใน จึงจัดว่าเป็นสิวประเภทที่มีระดับการอักเสบรุนแรงมากกว่าสิวชนิดตุ่มแดง ทำให้มักมีอาการปวดร่วมด้วย
 

สิวอักเสบแดงเป็นก้อน (Nodules)

สิวอักเสบแดงเป็นก้อนใหญ่ เป็นสิวอักเสบใต้ผิวหนัง ที่มีหนอง และเลือดปะปนกันอยู่ เนื่องจากมีขนาดเม็ดสิวที่ใหญ่ทำให้อาจจะมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย หากมีการกดสิวก็อาจจะทิ้งรอยสิวเอาไว้ได้เช่นกัน
 

สิวซีสต์ (Cysts)

สิวซีสต์เป็นสิวอักเสบชนิดที่มีความรุนแรงถึงผิวหนังระดับชั้นกลาง หรือลึกไปจนถึงผิวชั้นหนังแท้ พบได้ทั้งเม็ดสิวขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ โดยมีลักษณะเป็นสิวอักเสบหัวแข็ง ก้อนนูน มีหนองอยู่ภายในก้อนสิว
 

สิวหัวช้าง (Acne Conglobata)

สิวหัวช้างเป็นหนึ่งในสิวอักเสบชนิดรุนแรง มีขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นก้อน ตุ่ม นูนแดง หัวสิวแข็ง ภายในของสิวชนิดนี้ปะปนไปด้วยเลือด และหนอง ทำให้การสิวหัวช้างรักษาอาจจะต้องรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย

สิวอักเสบตุ่มแดงนั้นเกิดได้ทุกบริเวณทั่วทั้งร่างกาย เพราะต่อมไขมันที่ก่อให้เกิดการอักเสบของสิวนั้นมีอยู่ทุกจุดในร่างกาย โดยบริเวณที่มักจะพบสิวอักเสบบ่อยๆ เช่น
 

สิวอักเสบที่คาง

สิวที่คางเป็นผิวบริเวณที่เป็นสิวอักเสบได้ง่าย เพราะในยุคปัจจุบันที่ทุกคนจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำ ทำให้ผิวเป็นสิวได้รับการเสียดสีเป็นประจำ นำไปสู่ปัญหาสิวอักเสบในที่สุด
 

สิวอักเสบที่หน้าผาก

บริเวณหน้าผากก็เป็นอีกหนึ่งบริเวณที่ทำให้เกิดสิวข้าวสารที่หน้าผากเป็นประจำ เนื่องจากสิวอักเสบบริเวณหน้าผาก จะถูกกระตุ้นจากเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้า รวมถึงสิ่งสกปรก คราบเหงื่อ และแบคทีเรียต่างๆ จะตกลงมาหมักหมมที่บริเวณนี้
 

สิวอักเสบที่จมูก

บริเวณจมูกเป็นอีกหนึ่งบริเวณที่มักจะพบสิวได้บ่อย ไม่เพียงแค่สิวอักเสบเท่านั้น แต่สิวอีกหนึ่งชนิดที่มักพบได้บ่อยก็คือสิวเสี้ยนนั่นเอง เพราะอวัยวะในบริเวณนี้ยื่นออกมา ทำให้เสียดสีกับสิ่งต่างๆ ทั้งแมสก์ มือ หมอน จนเกิดการระคายผิวได้ง่าย
 

สิวอักเสบที่แก้ม

สิวอุดตันมีหัว สิวอักเสบที่แก้มจำเป็นต้องมีวิธีดูแลรักษาเป็นพิเศษ เพราะเป็นจุดที่ได้รับการสัมผัสบ่อยๆ จากทั้งมือ และแมสก์ ทำให้สิ่งสกปรกมาสะสมอยู่ที่บริเวณใบหน้า ทำให้สิวอุดตันเหล่านี้เกิดการอักเสบกลายเป็นสิวอักเสบได้
 

สิวอักเสบที่หลัง

บริเวณหนึ่งในร่างกายที่เกิดสิวได้ง่าย เพราะการเสียดสี และอับชื้นภายใต้ร่มผ้าก็คือ บริเวณแผ่นหลังของเรานั่นเอง ความอับชื้นจากคราบเหงื่อ สิ่งสกปรกต่างๆ ยิ่งทำให้สิวที่หลังถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้นได้

หลังจากที่เราทำความรู้จักกับสิวอักเสบกันมาพอสมควรแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะมาจดทุกเคล็ดลับ วิธีรักษาสิวอักเสบ เรียกผิวสวยให้คืนกลับมากัน มีทั้งวิธีง่ายๆ ที่เราสามารถรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองได้ และวิธีที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ทางการแพทย์เข้ามารักษาด้วย

 

การใช้ยาทารักษาสิวอักเสบ

เริ่มต้นด้วยวิธีแรก วิธีทายาที่สิวอักเสบเป็นหนึ่งในวิธีที่เราสามารถรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังจำเป็นที่ยังต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนัง และเภสัชกรเสียก่อน เพื่อความปลอดภัยของผิว ไม่ให้ได้รับผลข้างเคียงอันตราย ในกรณีที่ใช้ยาทาสิวอักเสบในปริมาณที่เกินขนาด หรือที่มีความเข้มข้นมากจนเกินไป

ยาทาสิวอักเสบที่แนะนำ แบ่งตามความรุนแรงของการอักเสบได้ ดังนี้

  • สิวอักเสบระดับไม่รุนแรงสามารถใช้ยาทาเฉพาะจุดได้ แต่อยู่ในปริมาณการควบคุมตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง เภสัชกร และฉลากยา เช่น Benzoyl peroxide, Topical retinoids, Clindamycin เป็นต้น
  • สิวอักเสบระดับปานกลางนอกจากตัวยาชนิดทาสิวอักเสบที่เกริ่นไปแล้วข้างต้น อาจจะจำเป็นต้องใช้การรับประทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ตามคำแนะนำของแพทย์ และเภสัชกร เช่น Tetracycline Erythromycin เป็นต้น
  • สิวอักเสบระดับรุนแรงนอกจากการทายาสิวอักเสบ การรับประทานยา อาจจะต้องอาศัยการฉีดยาสิวอักเสบร่วมด้วยตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ

 

การรับประทานยาเพื่อรักษาสิวอักเสบ

ยาลดสิวอักเสบชนิดรับประทาน ได้แก่

  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral antibiotics) เมื่อรับประทานไปแล้ว ตัวยามีคุณสมบัติในการช่วยทำลายแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นตัวยาที่บรรจุฮอร์โมนเพศหญิงเอาไว้ เมื่อรับประทานเขาไปจะมีส่วนเข้าไปช่วยลดการหลั่งของฮอร์โมนเพศชายที่เป็นตัวกระตุ้นในการผลิตน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า
  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ยาชนิดรับประทานอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีฤทธิ์ในการกดการทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตไขมัน และช่วยลดปริมาณเชื้อสิว และการอักเสบบวมแดงของสิว

 

การใช้การฉายแสงลดสิวอักเสบ

วิธีการที่นำนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามาร่วมในการรักษา สามารถช่วยลดการอักเสบของสิวอักเสบลงไปได้ โดยใช้คลื่นแสงยิงลงไปบนผิว แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้

  • แสงสีฟ้าแสงชนิดนี้จะเข้าไปช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ที่ทำให้ผิวเกิดการอักเสบ พร้อมทั้งช่วยลดการผลิตความมันส่วนเกิน ต้นเหตุการเกิดสิวบนผิวได้
  • แสงสีแดง แสงชนิดนี้จะช่วยลดการอักเสบของต่อมไขมัน ทำให้ต่อมไขมันมีขนาดเล็กลง ทำให้หน้ามันลดลง ลดการเกิดสิวอักเสบ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด และการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ในโครงสร้างผิวให้แข็งแรง

 

การใช้ความเย็นรักษาสิวอักเสบ (Cryotherapy) 

อีกหนึ่งอุปกรณ์เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถช่วยลดการอักเสบของผิวลงไปได้ ด้วยการใช้ความเย็นจากไนโตรเจนเหลว เข้ามาบำบัดผิว ช่วยลดการปวด บาดเจ็บของผิว ลดการอักเสบของผิว ทำให้หลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดได้ดี ผิวที่อักเสบ และบวมจะค่อยๆ ดีขึ้น

 

การฉีดยารักษาสิวอักเสบ

การฉีดยาสิวอักเสบช่วยลดการอักเสบของสิวบริเวณที่ฉีดไปได้ ทำให้สิวยุบตัวได้เร็วขึ้น ลดอาการเจ็บปวดจากเม็ดสิวลงไป โดยยาที่นิยมใช้ในการฉีดยารักษาสิวอักเสบ มักเป็นชนิดยาสเตียรอยด์ (Steroid) ตัวยาที่นิยมเป็น ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) โดยแพทย์จะพิจารณาปริมาณและความเข้มข้นตามความเหมาะสม โดยมักจะใช้ในปริมาณน้อยๆ ความเข้มข้นต่ำ เพื่อไม่ให้เกิดรอยบุ๋มลงไปในบริเวณที่ฉีด

สิวอักเสบไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเราดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธีก็จะช่วยลดโอกาสเกิดสิวอักเสบได้แล้ว มาดู 7 เคล็ดลับดูแลผิวหน้าแบบอ่อนโยน ผิวสวยใส แลดูสุขภาพดี ดังนี้
 

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า

เห็นได้ชัดเลยว่ามือเป็นอวัยวะที่เราจำเป็นต้องใช้สัมผัสหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตประจำวัน ทำให้เป็นอวัยวะที่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียชั้นดี ดังนั้นการใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ทั้งจากอิริยาบถในชีวิตประจำวัน รวมถึงการแคะ แกะ เกาสิว ยิ่งทำให้ระคายผิวจนอักเสบได้ ทางที่ดีการเลี่ยงพฤติกรรมนี้จะส่งผลดีต่อสิวมากที่สุด
 

2. ดูแลรักษาหน้าให้สะอาดแบบ Double Cleansing

Double Cleansing หรือการทำความสะอาดผิวหน้าสองขั้นตอน คือวิธีการทำความสะอาดผิวหน้าที่ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดหมดจดอย่างล้ำลึก ลดโอกาสการเกิดสิวและผิวหมองคล้ำ โดยขั้นตอนแรกจะใช้คลีนซิ่งลดสิว จากนั้นจึงตามด้วยการใช้เจลล้างหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่เหลืออยู่ ทำให้ผิวหน้าสะอาดสดใสและลดโอกาสการเกิดสิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสม
 

3. ดูแลผิวด้วยสกินแคร์รูทีน

การเลือกสกินแคร์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมากในการช่วยลดโอกาสการเกิดสิว เพราะสกินแคร์จะเข้ามาช่วยดูแลผิวให้สะอาด ชุ่มชื้น ลดโอกาสการเกิดสิวและรอยแผลเป็น
 

- เช็ดโทนเนอร์

โทนเนอร์จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าอีกครั้งหลังจากล้างหน้า แนะนำ Sébium Lotion โทนเนอร์สูตรเฉพาะสำหรับผิวมันและเป็นสิว ที่ช่วยควบคุมความมันส่วนเกิน ลดการอักเสบ ช่วยให้ผิวรู้สึกสดชื่น ทั้งยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกและไขมันส่วนเกินที่ตกค้าง ทำให้รูขุมขนสะอาด ลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบ และเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงในขั้นตอนต่อไป
 

- ครีมแต้มสิวเฉพาะจุด

ครีมแต้มสิวจะช่วยลดการอักเสบของสิวเฉพาะจุด ลดอาการแดงและบวม ช่วยลดโอกาสที่สิวจะลุกลามไปยังบริเวณอื่นๆ รวมถึงลดโอกาสเกิดรอยแผลเป็น
 

- ทาเซรั่มบำรุงผิว

เซรั่มลดโอกาสเกิดสิว Sébium Serum เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ออกแบบมาเพื่อผู้ที่มีปัญหาสิวโดยเฉพาะ ช่วยลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น ด้วยส่วนผสมหลักอย่างกรดซาลิไซลิกที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและขจัดเซลล์ผิวตาย 

อีกทั้งยังมีเทคโนโลยี Fluidactiv ที่ช่วยควบคุมความมันส่วนเกินและป้องกันการเกิดสิวซ้ำ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและลดเลือนริ้วรอยได้อีกด้วย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวมันและผิวผสมที่เป็นสิว สามารถใช้เป็นประจำเพื่อผิวหน้าที่แข็งแรง สุขภาพดี
 

- ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอไรเซอร์

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าคนที่ผิวมันไม่จำเป็นต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ แต่จริงๆ แล้วผิวมันก็ต้องการความชุ่มชื้นเช่นกัน การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น ลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน และลดโอกาสการเกิดสิว แนะนำ Sébium Sensitive มอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายและเป็นสิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่เหนียวเหนอะหนะ
 

4. ทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน

แสงแดดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวและทำให้รอยสิวเข้มขึ้น การทาครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ที่เป็นอันตราย ช่วยลดการอักเสบของสิว และป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้น ซึ่งวิธีทากันแดดที่ถูกต้อง ก็คือการทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 2 ข้อนิ้ว และทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะหากทำกิจกรรมกลางแจ้ง

แนะนำ Photoderm Aquafluide ครีมกันแดดสูตรน้ำนม เนื้อบางเบา เกลี่ยง่าย ไม่เป็นคราบ เหมาะสำหรับผิวบอบบาง เป็นสิวง่าย สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ด้วยเทคโนโลยี SUN ACTIVE DEFENSE ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการต้านทานรังสี UVA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังให้ความชุ่มชื้นยาวนานถึง 8 ชั่วโมง ควบคุมความมันส่วนเกิน และให้สัมผัสที่แห้งสบายผิว 

 

5. พักผ่อนให้เพียงพอ

อีกหนึ่งพฤติกรรมประจำวันที่หากใครปรับเปลี่ยนได้จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมแน่นอน ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของสุขภาพผิวเท่านั้น ดังนั้นการนอนหลับสนิทให้เพียงพอครบ 7 - 8 ชั่วโมง ตั้งแต่หัวค่ำ 4 - 5 ทุ่ม ร่างกายจะเกิดกระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ส่วนผิวเองก็จะเกิดกระบวนการซ่อมแซมตัวเองด้วยเช่นกัน ทำให้การอักเสบของผิวลดลง

 

6. ลดความเครียด 

ความเครียดส่งผลให้การอักเสบของสิวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความเครียดส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อการเกิดสิว รวมถึงความเครียดยังส่งผลทางอ้อมให้เกิดการจับและสัมผัสที่สิว ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย และเกิดการอักเสบของสิวอักเสบมากยิ่งขึ้น

 

7. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 

การรับประทานอาหารที่ไม่ดีนั้นส่งผลให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดความไม่สมดุล กระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบได้ง่าย ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สารอาหารเหล่านี้จะเข้าไปช่วยปรับสมดุลผิวในร่างกายให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยอาหารที่มีผลในการช่วยลดสิวอักเสบ ได้แก่ แซลมอน อาโวคาโด ไข่ กระเทียม ชาเขียว อัลมอนด์ แครอท ทับทิม เป็นต้น

 

สรุป

ปัญหาสิวอักเสบนั้นมีตั้งแต่ระดับของรุนแรงน้อย ไปจนถึงมาก ทำให้เหมาะกับการวิธีดูแลรักษาสิวอักเสบที่แตกต่างกันไป โดยวิธีรักษาสิวอักเสบไม่มีแบบเร่งด่วน แต่จะเน้นไปที่การรักษาผิวแบบเห็นผลในระยะยาว ทั้งวิธีที่สามารถรักษาสิวอักเสบได้ด้วยตัวเอง การรับประทานยารักษาสิวอักเสบ ไปจนถึงการรักษาที่อาจจะต้องอาศัยหัตถการจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมด้วย 

เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่ได้ประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพราะหากถ้าทิ้งปัญหาสิวอักเสบเอาไว้นาน อาจจะทำให้เกิดปัญหารอยสิว และหลุมสิวตามมาได้อีกนั่นเอง

ควรเลี่ยงที่จะกดสิว หรือบีบสิวอักเสบด้วยตนเอง เพราะสิวอักเสบเป็นสิวที่บวมแดงมากอยู่แล้ว หากกดสิวไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดรอยช้ำ หรือยิ่งทำให้ผิวเป็นสิวอักเสบบริเวณนี้ลุกลามมากยิ่งขึ้น จึงแนะนำว่าให้เข้ารับการรักษาจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังจะดีเสียกว่า

แท้จริงแล้วสิวทุกชนิดสามารถหายเองได้ แต่สิวประเภทสิวอักเสบนั้นใช้เวลานานในการที่ผิวจะซ่อมแซมในส่วนนี้จนผิวหายดีสนิท การที่ยิ่งทิ้งสิวอักเสบเอาไว้นาน ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดปัญหารอยสิว และหลุมสิวทิ้งเอาไว้บนผิว

โดยทั่วไปแล้วสิวอักเสบจะใช้เวลาในการหายได้เอง ประมาณ 4 - 6 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย ผู้ที่เผชิญกับปัญหาสิวอักเสบจึงจำเป็นต้องใช้ความอดทนต่อระยะเวลามากในการรักษา

แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริงว่า แอลกอฮอล์มีส่วนทำให้สิวเห่อมากยิ่งขึ้น แต่แอลกอฮอล์ก็ส่งผลต่อสุขภาพผิวอยู่ไม่น้อย เพราะว่าแอลกอฮอล์จะส่งผลให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยาย ทำให้ผิวแห้ง เสียสมดุล จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้ระคายผิวง่ายต่อการอักเสบได้

สิวอักเสบเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว นอกจากนี้ พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การบีบสิว การสัมผัสใบหน้า และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว ก็สามารถทำให้สิวอักเสบเพิ่มขึ้นได้

การนอนหลับอย่างเพียงพอและตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่มีปัญหาสิว โดยควรนอนให้ได้ประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนและควรนอนก่อนเที่ยงคืน เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและลดระดับฮอร์โมนความเครียดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดสิว

คนเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคน และสารกันเสีย เช่น พาราเบน เนื่องจากส่วนผสมเหล่านี้ทำให้เกิดการระคายผิวและอุดตันรูขุมขน นอกจากนี้ ครีมกันแดดที่มีเนื้อหนักหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน

การนอนดึกทำให้สิวเห่อได้จริง เนื่องจากส่งผลให้ระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) เพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังและทำให้เกิดการอุดตัน นอกจากนี้ การนอนดึกยังทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูได้เต็มที่ ส่งผลต่อสุขภาพผิวโดยรวม

สิวที่จับแล้วเจ็บมักจะเป็นสิวอักเสบ หรือสิวหนอง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อและการอักเสบในรูขุมขน โดยมักมีลักษณะเป็นตุ่มแดงหรือมีหนองอยู่ด้านบน ซึ่งสิวประเภทนี้ต้องการการดูแลรักษาอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็น

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม

ทำความสะอาดและบำรุงผิว

ผิวผสมถึงผิวเป็นสิวง่าย

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium)

Bioderma ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม

ผิวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เนื่องจากผิวจะมีความหนามากขึ้น มันเงา เกิดสิวอักเสบเป็นจุดมากน้อยแตกต่างกันไป และบางครั้งก็ยังคงเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่อีกด้วย

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) เป็นผลิตภัณฑ์ที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อผิวมันและเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ
ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซีเบี่ยม (Sébium) มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลผิวที่แพทย์ผิวหนังแนะนำโดยเฉพาะ ทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับผิวมัน อย่างเจลล้างหน้าและไมเซล่า วอเตอร์ มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวง่าย และอื่นๆ อีกมากมาย เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวประจำวันให้ตัวคุณเลย!